"AEONTS" ร่วงรับหนี้ Q2 น่าห่วง 4โบรกมองเกมหุ้นน่าซื้อ ?
ราคาหุ้น "บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS" ปิดการซื้อขายเช้านี้(9 ต.ค. 2566) อยู่ที่ 151.50 บาท ลดลง 0.50 บาท คิดเป็น -0.33% มูลค่าการซื้อขาย 11.87 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นสูงสุด 155 บาท และลดลงต่ำสุด 151 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ระบุว่า AEONTS รายงานกำไรสุทธิ 2Q66 (สิ้นงวดเดือน ส.ค. 2566) จำนวน 842 ลบ. ลดลง 6.8% YoY แต่โต 36.4% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 11%
ปัจจัยหนุนหลักมาจากกำไรจากการประมูลขายหนี้เสียให้กับบริษัท AMC ที่เพิ่มเข้ามา 167 ลบ. สูงกว่าที่คาดจะอยู่ราวๆ 100 ลบ. ประกอบกับรายได้หนี้สูญรับคืน และรายได้บริการติดตามหนี้ที่ฟื้นตัวได้ดี ทำให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโต 23.6% QoQ
บริษัทคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี สะท้อนจาก Cost to Income Ratio ที่ลดลงเหลือ 40.6% จาก 41.2% ใน 1Q66 (สิ้นงวดเดือน พ.ค. 2566)
การตั้งสำรองเริ่มลดลงเล็กน้อย 6.9% QoQ คิดเป็น Credit Cost ที่ 8.3% ลดลงจาก 8.9% ใน 1Q66 แต่ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ Credit Cost ปกติของธุรกิจที่ 6-7% โดยตัวเลข NPL ขยับขึ้นต่อเนื่องเป็น 6.2% จาก 5.9% ใน 1Q66
ในฝั่งของรายได้ดอกเบี้ยทำได้เพียงทรงตัว QoQ กดดันจากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัวได้ต่ำเพียง 0.2% QoQ หลังบริษัทเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีคุณภาพสินทรัพย์แย่ลงในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นแตะ 3.6% จาก 3.2% ใน 1Q66
อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิ 1H66 ของ AEONTS คิดเป็น 41.2% ของประมาณการทั้งปี เบื้องต้นฝ่ายฯคงมุมมองเดิมโดยคาดผลดำเนินงานใน 3Q66 (สิ้นงวดเดือน พ.ย. 2566) จะชะลอลง QoQ เพราะไม่มีกำไรจากการขายหนี้เสียก้อนใหญ่เข้ามาช่วยเสริมเหมือนกับ 2Q66 แต่บางส่วนคาดถูกชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่มีทิศทางผ่อนคลายลง หลังรับรู้อานิสงค์บวกจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล ซึ่งคาดจะช่วยให้ฐานลูกค้ารายได้น้อยของ AEONTS มีความสามารถในการชำระหนี้สูงขึ้น
ส่วนของรายได้ดอกเบี้ยคาดจะปรับขึ้น QoQ หลังเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ ทำให้คาดพอร์ตสินเชื่อจะกลับมามีอัตราโตที่สูงขึ้นจาก 1H66 แต่ในส่วนของ NIM มีแนวโน้มที่จะลดลง จากต้นทุนทางการเงินที่ขยับขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฝ่ายฯคงคาดทั้งปี 2566 AEONTS จะมีกำไรสุทธิ 3,541 ลบ. ลดลง 9.5% YoY
แม้ราคาหุ้น AEONTS ปรับตัวลงจนกลับมามี Upside 21.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 185 บาท (อิง Prospective PBV ที่ 1.8x) แต่เราคงคำแนะนำเพียง “TRADING” เนื่องจากมองยังมีความเสี่ยงที่หนี้เสียจะขยับขึ้นในปี 2567 ที่มาตรการลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำเริ่มกลับสู่ระดับปกติ ส่งผลให้การตั้งสำรองมีความเสี่ยงที่จะลดลงได้ช้ากว่าที่เราคาด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบจากมาตรการควบคุมการโฆษณาสินเชื่อ ที่คาดส่งผลต่อความสามารถในการหาลูกค้าใหม่
สินเชื่อครึ่งปีหลังฟื้น
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) แนะนำ “ทยอยซื้อ” หุ้น AEONTS รายงานกำไร 2Q66 ที่ 842 ลบ. ดีกว่าคาดจากรายได้จากการขายลูกหนี้ที่ตัดจำหน่ายแล้ว ซึ่งทางฝ่ายฯไม่ได้ประมาณการไว้ โดยกำไรในไตรมาสนี้ ลดลง 6.8% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายและการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้น 36.4% q-q จากรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นมากจากมีรายได้จากการขายลูกหนี้ที่ตัดจำหน่ายแล้วและมีการตั้งสำรองลดลง
ด้านสินเชื่อของ AEONTS ถึงแม้จะเติบโตเพียง 0.18% q-q แต่ก็เป็นการกลับมาฟื้นตัวได้จากไตรมาสก่อนที่มีสินเชื่อหดตัว 0.2% q-q โดยสินเชื่อเช่าซื้อยังคงเป็นสินเชื่อที่เติบโตเด่น เพิ่มขึ้น 5.2% q-q ขณะที่สินเชื่อเงินกู้ยืมยังคงหดตัว และเป็นตัวดึงให้สินเชื่อเติบโตไม่มาก ขณะที่ NPL ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 6.2% จาก 5.9% ในไตรมาสก่อน
โดยสินเชื่อยังไม่ค่อยโตส่วนหนึ่งเพราะการตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า และการเข้มงวดในการปล่อยของทาง AEONTS เอง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังโดยปกติจะเป็นช่วง high season คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ ขณะที่ NPL ที่ขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้าทจึงได้จัดชั้นเป็น NPL เลย และเมื่อรวมกับการขายหนี้ และตัดสูญ ทำให้ credit cost ในไตรมาส 2/66 ลดลง และคุณภาพสินทรัพย์น่าจะดีขึ้นได้ต่อ
ทั้งนี้ฝ่ายฯยังคงประมาณการกำไร และราคาพื้นฐาน 164.50 นอกจากนี้ AEONTS ยังคงระดับการจ่ายปันผลระหว่างกาล 2.55 บาทต่อหุ้น ถึงแม้กำไรในช่วงครึ่งแรกของปี66จะลดลง และน่าจะยังคงระดับปันผลทั้งปีไว้ได้
รอมาตรการรัฐหนุน
บล.ทิสโก้ แนะนำ“ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 185 บาท มองคุณภาพสินทรัพย์ AEONTS ที่แย่ลงเป็นไปตามคาด และเป็นไตรมาสก่อนที่มาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐจะเดินหน้า และในด้านของราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลง 17% จาก 183.5 บาท ในวันที่ 6 ก.ค. ที่เราปรับประมาณการลง
ฝ่ายวิเคราะห์มีการปรับประมาณการเป็นเชิงรับมากขึ้น 1) ปรับ Credit Cost สำหรับปี FY23-24F เป็น 8.0% และ 7.5% จากเดิมที่ 7.7% และ 7.5% 2) ปรับ Funding Cost ขึ้นจากดอกเบี้ยขาขึ้น และ 3) ปรับลดผลตอบแทนจากสินเชื่อลงเนื่องจากบริษัทเน้นการขยายสินเชื่อความเสี่ยงต่ำเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรหลักเติบโตลดลงเป็น 16.8%/6.8% และผลประกอบการรวมการตัดจำหน่ายลดลง 14% เป็น 3.28 พันล้านบาทสำหรับปี FY23F และโต 22.8% เป็น 4.03 พันล้านบาทใน FY24F
โดยเราคาดกำไรหลักในช่วง 3QFY23F ที่ 812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% QoQ อีกทั้งปรับมูลค่าที่เหมาะสมลงเป็น 185 บาท จากเดิม 200 บาท คิดเป็น 12.7 เท่า PER อิงปี FY23-24F มีอัพไซด์ 22% รอมาตรการหนุนภาครัฐ ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
ตามคาด
บล.เคจีไอ แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 165 บาท อิงจากค่าเฉลี่ย PE ในอดีตที่ 12 เท่า AEONTS รายงานกำไรสุทธิใน 2Q66 (มิถุนายน – สิงหาคม) อยู่ที่ 842 ล้านบาท (+36% QoQ แต่ -7% YoY) สูงกว่าประมาณการเราคาดที่ 10% consensus คาดที่ 30% ขณะที่ กำไรสุทธิใน 1H66 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (-28% YoY) คิดเป็น 44% ของประมาณการเต็มปี 2566F ของเรา
กำไรดีกว่าคาดจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญต่ำกว่าคาด และมีกำไรจากการขาย NPL สูงกว่าคาดอยู่ที่ 167 ล้านบาท (เราคาดที่ 120 ล้านบาท) ถึงแม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ทรงตัว QoQ แต่กำไรยังเติบโต QoQ จากการรับรู้กำไรจากการขาย NPL (ไม่มีรายการนี้ใน 1Q66) และ credit cost ต่ำลง
ขณะที่ กำไรลดลง YoY จาก NII ต่ำลงตามส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (spread) ลดลง และ credit cost เพิ่มขึ้น ส่วน กำไรก่อนการตั้งสำรองและหักภาษี (PPOP) ใน 2Q66 ทรงตัว QoQ แต่ลดลง 5% YoY
พอร์ตสินเชื่อรวมของ AEONTS ใน 2Q66 ทรงตัวทั้ง QoQ และ YoY จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง (สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเช่าซื้อ) ตามที่เราคาด ทำให้ไม่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อใน 1H66 ทางด้านส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (loan spread) เป็นตามเราประมาณการไว้ที่ 16.8% ใน 2Q66 โดยลดลง 14bps QoQ และ 87bps YoY ตามต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นและ yield ต่ำลง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-income ratio) ใน 2Q66 ลดลงตามเราคาดอยู่ที่ 36.5% (เทียบกับ 37.2% ใน 1Q66)
อัตราสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6.2% สูงกว่าเราคาด ยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (gross NPL) ใน 2Q66 เพิ่มขึ้น 5% QoQ และ 9% YoY ท่ามกลางสัดส่วน NPL เพิ่มขึ้นเป็น 6.2% ใน 2Q66 (จาก 5.9% ใน 1Q66) สูงกว่าเราคาดไว้ที่ 6.0% ทางด้าน credit cost ใน 1Q66/67 ลดลงอยู่ที่ 8.3% (เทียบกับ 8.9%/7.9% ใน 1Q66/2Q65) และต่ำกว่าเราคาดที่ 8.5% ขณะที่ สัดส่วน NPL coverage ลดลงอยู่ที่ 174% (เทียบกับ 184%/207% ใน 1Q66/2Q65)
คณะกรรมการบริหารบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 2.55 บาทต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานงวดเดือนมีนาคม-สิงหาคม 2566 โดยกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 19 ตุลาคม 2566 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 1.68%
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.