MAJOR ทุ่ม 1,000 ล้าน ซื้อหุ้นคืน 76.8 ล้านหุ้น 6 เดือน เริ่ม 16 ก.ค.นี้
บริษัท เมเจอร์ ซีนี เพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2567 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัท เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 76,800,000 หุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน คิดเป็นจํานวน 9.26% ซึ่งไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท
โดยวิธีการและกำหนดเวลาในการซื้อหุ้นคืน ด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.2567 ถึงวันที่ 16 ม.ค.2568
สำหรับเหตุผลในการซื้อหุ้นคืน
1.เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)
3.เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
โดยหลักเกณฑ์ในการกําหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน โดยให้นำราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันที่บริษัทจะทําการเปิดเผยข้อมูลมาประกอบการพิจารณากําหนดราคาหุ้นด้วย ราคาหุ้นที่จะซื้อคืนจะไม่เกินกว่า 115% ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทกำารซื้อหุ้นคืน ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทําการ ตั้งแต่วันที่ ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.2567 ถึง วันที่ 19 มิ.ย.2567 เท่ากับ 13.72 บาทต่อหุ้น (ราคาปิดถัวเฉลี่ย 30 วันทําการย้อนหลัง)
ผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อผู้ถือหุ้น
1.ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืนจะไม่มีสิทธิในการรับเงินปันผล และจะทำให้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้นด้วย
2.ลดปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดลง ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น
ผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อบริษัท
1.บริษัทจะมีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง (Book Value Per Share)
2.ในกรณีที่บริษัทสามารถจำหน่ายหุ้นสามัญซื้อคืนได้ทั้งหมดในราคาที่สูงกว่าราคารับซื้อจะมีผลทำให้บริษัทมีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเพิ่มขึ้น
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2566-20 มิ.ย.2567 หรือเกือบ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกต่างชาติขายสุทธิมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 3 แสนล้านบาท กดดัน MARKET CAP ตลาดหุ้นไทยลดลงจาก 20.57 ล้านล้านบาท เหลือ 16.06 ล้านล้านบาท ลดลงไปกว่า 4.5 ล้านล้านบาท ในช่วงเวลาสั้นๆ และ SET INDEX ยังปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า 22.1% ในช่วงเวลาดังกล่าว
ขณะที่ช่วงนี้ตลาดยังเผชิญความผันผวนจากประเด็น MARGIN CALL รวมถึงวันนี้ SET INDEX ยังมีโอกาสผันผวนช่วงท้ายตลาดฯ จากกองทุนต่างประเทศมีการ REBALANCE ตามดัชนี FTSE
อย่างไรก็ตาม ในยามที่ตลาดหุ้นตกลงมาหนักๆ ก็มีบางบริษัททยอยประกาศซื้อหุ้นคืน โดยในปีนี้มีบริษัทที่ประกาศซื้อหุ้นคืนมาแล้ว 16 บริษัท ได้แก่ MAJOR, M, A5, AH, MODERN, SITHAI, BJCHI, SFLEX, PRM, LEE, VIBHA, BEM, TKS, ZEN, TU และ AS
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการคัดกรองเบื้องต้น ว่ามีบริษัทจดทะเบียนไหนที่มีโอกาสประกาศซื้อหุ้นคืนในช่วงนี้ โดยเลือกจากหุ้นที่เคยประกาศซื้อหุ้นคืนมาแล้ว แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าตอนนั้น พร้อมกับเงื่อนไขอื่นๆ ประกอบ ดังนี้
- เป็นหุ้นที่เคยถูกซื้อหุ้นคืนในอดีต และราคาปัจจุบันต่ำกว่าตอนนั้น
- เป็นหุ้น VALUATION ถูก PE <10 เท่า
- มีภาระหนี้สิ้นในระดับต่ำ D/E <1.5 เท่า
- มีสถานะการเงินอยู่ในระดับดี CFO >0
- มีสภาพคล่องพอในซื้อหุ้นคืนได้ FREE FLOAT > 20% (ตามเกณฑ์หุ้นเข้า SET50 และ SET100)
โดยได้ผลลัพธ์หุ้นที่อยู่ในสถานะน่าถูกซื้อหุ้นคืน ได้แก่ SPC, BLAND, KYE, III, NNCL, FPI และ BR
จากรายชื่อหุ้นทั้ง 2 ส่วน ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ถูกประกาศซื้อหุ้นคืนในปีนี้ รวมถึงหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อหุ้นคืน อย่าง MAJOR, BEM, TU, M, III และ BR
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.