ฟอร์ซเซลตัวร้ายฉุด "NRF" ร่วงติดฟลอร์ 3 วันติด ราคาลงลึก -65.80%

     จากหุ้นไอพีโอที่ถูกยกให้เป็น "หุ้นอาหารแพลนต์เบส(Plant Based)แห่งอนาคต" ถือเป็นความแปลกใหม่ในตลาดช่วงนั้น "บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF" ธุรกิจผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัตที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ เข้าเทรดในวันที่ 9 ต.ค.2563 ด้วยราคาเสนอขาย 4.60 บาท .

     วันนี้(20 มิ.ย.2567) ราคาหุ้น NRF ร่วงติดฟลอร์ต่อเนื่อง 3 วันติด นับตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.67 จากราคาเปิดตลาด 4.24 บาท ปรับลดลงต่อเนื่องทำราคาต่ำสุดในวันนี้ที่ 1.45 บาท คิดเป็นการปรับตัวลดลงตลอด 3 วัน ติดลบ -65.80% ถือเป็นราคาต่ำที่สุดนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นไทย

     สาเหตุเกิดจากผู้ถือหุ้น NRF นำหุ้นไปเป็นหลักประกันกับบริษัทหลักทรัพย์ ณ เม.ย.67 สูงถึง 38% เมื่อเทียบกับทุนจดทะเบียนชำระแล้ว(paid up) และด้วยภาวะตลาดไม่เอื้อ บวกกับผลประกอบการ หรือ PE ติดลบ กดดันราคาหุ้นปรับลดลงจนแตะระดับต้องเรียกหลักประกัน Call และถูก Force sell หุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นำมาวางเป็นหลักประกันนั่นเอง

 

ใช้ MARGIN น่ากลัวจริงหรือไม่ ?

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า วานนี้หุ้นหลายตัวขนาดกลาง-เล็ก ปรับตัวลงแรงใกล้และถึง FLOOR อาทิ NEWS , JCKH , SDC , SABUY , NRF , SBNEXT , AS , YGG , PK , TRC , NEX , BYD เป็นต้น ซึ่งเกิดข้อสงสัยว่าหุ้นที่ปรับตัวลงแรงวานนี้ อาจเพราะมีเปอร์เซ็น(%)MARGIN คงค้างทิ่อยู่ระดับสูง เนื่องจากหุ้นหลายตัวที่ปรับตัวลงแรงวานนี้มี %MARGIN คงค้างอยู่ระดับ 20-45% อาทิ NRF , SBNEXT , AS , YGG และ NEX เป็นต้น 

     และด้วยสภาวะตลาดฯในปัจจุบันที่ขาดสภาพคล่องส่วนเกินมาหนุน จึงทำให้เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงแรงจนแตะระดับต้องเรียกหลักประกัน CALL หรือ FORCE SELL จึงทำให้เกิดการ FLOOR ได้ไม่ยาก และ เกิดภาวะไร้ BID ขึ้นดังเหตุการณ์เมื่อวานนี้ โดยรวมจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน และขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ

หุ้นรายตัว Margin ที่มี Margin คงค้างเยอะสุด


ที่มา: SET, สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส

     ประเด็นดังกล่าว คาดไม่ได้กดดันรุนแรงมากนักเหมือนในอดีต เนื่องจากมูลค่าซื้อขายผ่านบัญชี MARGIN ทั้งหมด เดือน พ.ค. 67 อยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท ลดลงถึง 71% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2564 ที่อยู่สูงระดับ 2.97 แสนล้านบาท รวมถึงล่าสุดมีปริมาณหุ้นที่ใช้ MARGIN คงค้างสัดส่วนเพียง 1.54% ของ MARKET CAP.แสดงให้เห็นการใช้ MARGIN โดยรวมที่ลดลงกว่าในอดีตมาก จึงเป็นประเด็นที่นักลงทุนเบาใจลงได้บ้างระดับหนึ่ง

     อย่างไรก็ดี แม้ราคาหุ้นบางตัววานนี้จะ FLOOR โดยไร้เหตุผลทางพื้นฐาน และเกิดการสังเกตว่าอาจมาจากการมีเปอร์เซ็นต์(%)MARGIN คงค้างมากไป อย่างไรก็ตามมูลค่า MARGIN โดยรวมทั้งตลาดฯในปัจจุบันไม่น่ากังวลเมื่อเทียบกับอดีต โดยมูลค่าซื้อขายผ่านบัญชี MARGIN ทั้งหมด เดือน พ.ค.67 อยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 71% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2564 รวมถึงล่าสุดมีปริมาณหุ้นที่ใช้ MARGIN คงค้างสัดส่วนเพียง 1.54% ของ MARKET CAP. จึงทำให้นักลงทุนเบาใจลงได้บ้าง 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.