เปิดมุมมอง 2 อดีตขุนคลัง "ธีระชัย-กรณ์" เศรษฐกิจไทยวิกฤตจริงหรือ

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความเห็นหลากหลายถึงกรณีเศรษฐกิจไทยเข้าขั้นวิกฤติหรือยังว่า องค์กรระหว่างประเทศหลักๆ ไม่ได้มีการนิยามเอาไว้ว่าเศรษฐกิจเข้าขั้นวิกฤตมีลักษณะอย่างไร แต่ปกติแล้วมันจะมีข้อมูลเชิงประจักษ์ หรือสะท้อนบอกว่าเศรษฐกิจวิกฤตแล้วหรือยัง ในหลายประเทศส่วนใหญ่ยอมรับมีอยู่ 5 ปัจจัยที่นำไปพิจารณา ซึ่งประกอบด้วย

 

ปัจจัยที่ 1 กรณีผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพีลดลงต่ำมาก หรือต่ำจนติดลบ หรือลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว แต่จะมากแค่ไหนที่จะบอกว่าเข้าสู่วิกฤตแล้วนั้น จะเป็นดุจพินิจของแต่ละประเทศ

ปัจจัยที่2 กรณีการใช้จ่าย เพื่ออุปโภค และบริโภคลดลงมาก 

ปัจจัยที่3 กรณีการลงทุนของธุรกิจเอกชนลดลงมาก 

ปัจจัยที่4 กรณีตัวเลขการว่างงานเพิ่มขึ้นมาก และเร็ว  หรือกรณีธุรกิจมีการเลิกจ้างแรงงานผิดปกติมากขึ้น

ปัจจัยที่ 5 เกิดกรณีหนี้ท่วม สถานการณ์ชำระหนี้ติดขัดอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะการชำระคืนเงินต้น หรือดอกเบี้ย

 

ส่วนกรณีที่รัฐบาลระบุว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพมานาน หรือโตไม่เต็มศักยภาพ และมองเข้าข่ายวิกฤตจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ตนมองว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ยังไม่เข้าข่ายว่าวิกฤต แต่เข้าข่ายเกิดปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศที่จำเป็นต้องแก้ไข แต่การแก้ไขตรงนี้ไม่จำเป็นต้องกู้เงิน เพื่อเอามาโปรย  เพื่อให้เกิดการใช้จ่าย โดยสมมุติว่า คนเราไม่เก่ง แล้วไปกู้เอา ๆ ไม่ได้แปลว่า “เก่ง” หรือเราไม่มีความคิดสร้างสรรค์ กู้เงินมาแจก ก็ไม่ได้ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ หรือนวัตกรรมเพิ่มขึ้น
 

 

“ จีดีพีถ้าติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาสก็ถือเป็นเศรษฐกิจถดถอย แต่ขณะนี้จะเอานิยามทางกฏหมายว่าวิกฤตหรือไม่มีวิกฤตไม่มีในโลก เพียงแต่จีดีพีโตต่ำกว่าศักยภาพแล้วจะชี้ให้เห็นว่า ประเทศเกิดวิกฤต ตรงนี้ไม่ใช่ เป็นการชี้ให้เห็นว่ามีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ไขเข้าไปที่โครงสร้าง” นายธีระชัย กล่าว

 

สำหรับวิธีที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ อาทิ  โครงสร้างการศึกษา เศรษฐกิจ แก้ไขเรื่องคอร์รัปชั่น ลดกฎกติกาลงทุน ลดการผูกขาด เป็นต้น ไม่ใช่กู้เงินมาแจก 

 

อย่างไรก็ตาม นายธีระชัย กล่าวต่อว่า คนที่ประเมินได้ว่าเศรษฐกิจเข้าข่ายวิกฤตมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ คณะรัฐมนตรี(ครม.) และกลุ่มคนที่จะนำเรื่องนี้ไปโต้แย้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งปัจจัยที่จะนำมาถกถึยงกัน ก็คือ 5 ปัจจัยข้างต้นที่กล่าวไปก่อนหน้า 


ทั้งนี้ มองว่าโอกาสเดินหน้าต่อของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาลเศรษฐายังมี เพราะรัฐบาลเสียงข้างมาก ดังนั้นถ้านำเข้าครม. และรัฐสภาฯ ย่อมผ่านไปได้ แต่แนะนำให้ผู้มีความรู้ทางการกฎหมายคอยให้คำแนะนำให้ครบถ้วน ให้แน่ใจเสียก่อน เพราะเมื่อผ่านไปแล้ว หากมีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และหากศาลชี้ว่า เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย การจะออกพ.ร.บ.กู้เงิน 5  แสนล้านบาทเพื่อทำโครงการก็ต้องหยุดลงทันที


“สุดท้ายมองว่าเรื่องนี้ จะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะหากมีคนท้าทายแล้วไปร้องต่อศาล หากศาลชี้ว่าผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ฉนับนี้ก็ต้องหยุด และเกรงว่าจะพาเอารัฐมนตรีที่ตัดสินเรื่องนี้ต้องรับผิดชอบไปด้วย”นายธีรชัย กล่าว
 

 

ส่วนข้อสังเกตของกฤษฎีกาในประเด็นคุ้มค่าหรือไม่ ตรงนี้มองว่า การทำเป็นเอกสารวิชาการจะทำให้ออกทางไหนก็ได้ ตรงนี้อย่าไปเสียเวลาดู ปัญหาคือ สังคมต้องตั้งคำถามว่ามันเร่งด่วน และเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจนไม่สามารถตั้งงบประมาณได้ทันจริงหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าเป็นนโยบายที่รัฐบาลหาเสียงมานานแล้ว ก่อนเสนอร่างพ.ร.บ.เข้าไปสภาฯ ตั้งนาน 

 

ดังนั้นเชื่อว่า หากรัฐบาลจะนำเข้างบประมาณย่อมทำได้ แต่การใช้เงินประเทศ ไม่ว่าในส่วนของการจัดเก็บรายได้ หรือการกู้ยืม ในระบบประชาธิปไตยจะต้องไม่ให้รัฐบาลใช้คนเดียว ต้องให้มีการดำเนินการผ่านรัฐบาล ผ่านกระบวนงบประมาณ ที่จะมีการถ่วงดุล ตรวจสอบ มีการกำกับดูแล และมีบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิดไว้อย่างชัดเจน แต่ว่าเวลานี้เราไปอาศัยช่องมาตรา 53 แล้วไปเปิดช่องให้เขาหลบจากระบบงบประมาณโดยง่าย เกรงว่าจะทำให้อนาคตเสถียรภาพการคลังของไทยจะแย่ เพราะต่อไปมีการใช้ช่องตรงนี้ทำให้ออกจากระบบงบประมาณไปเลย เพราะง่ายดี สามารถดำเนินการได้โดยไม่มีระบบตรวจสอบ ไปเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดความเสี่ยงประเทศไม่รู้จบ  

 

ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีมุมมองด้าน  Digital Wallet หลังกฤษฎีกาตีความในเบื้องต้นโดยมีมุมมองใน 9 ประเด็นหลัก  ดังนี้

1.ความเห็นกฤษฎีกาสะท้อนว่า การออกพ.ร.บ.กู้เงินมีความเสี่ยงทางกฎหมายจริง 

2. ในกรณีฉุกเฉินจำเป็น ทุกรัฐบาลในอดีตออกในรูป พรก. และไม่เคยมีรัฐบาลใดสามารถออก พรบ. รัฐบาลอภิสิทธิ์ถอนออกจากสภา ส่วนศาลรัฐธรรมนูญตีตก พรบ. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากประวัตินี้สะท้อนความเสี่ยงทางกฎหมาย

3. เพิ่มเติมคือเงื่อนใขทางกฎหมายชัดเจนขึ้นจากการออก พรบ. วินัยทางการคลังในปี 2561 ซึ่งระบุว่ากู้เงินนอกงบประมาณจะทำได้ “เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน และอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน”

4. ครม. ตามด้วย สภาฯ และศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องพิจารณาว่าเข้าเกณฑ์ตามกฎหมายหรือไม่

5. เทียบการออก พรก. ในอดีต

5.1 ปี 52 มีวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่ GDP ติดลบและเงินงบประมาณไม่เพียงพอ 

5.2 ปี 54 มีวิกฤตินํ้าท่วมใหญ่ 

5.3 ปี 62 มีวิกฤติโควิด

6. สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในสภาพตึง เงินทุนต่างชาติไหลออก และเงินฝากในระบบธนาคารลดลง การกู้เงินโดยรัฐบาลเพิ่มเติมจากการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จะยิ่งเพิ่มปัญหาสภาพคล่องให้กับภาคเอกชนที่มีปัญหาอยู่

7. สัดส่วนรายได้ภาษีของรัฐบาลเทียบกับ GDP ลดลงอย่างต่อเนื่อง เหลือไม่ถึง 14% ดังนั้นรัฐบาลยิ่งต้องระมัดระวังภาระดอกเบี้ยจากการกู้ยืมที่จะเพิ่มขึ้น

8. การใช้เงินดิจิตอลมีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่กับห้างขนาดใหญ่ จะไม่ช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กทั่วไปมากนัก

9. การเดินหน้านโยบายนี้จะเป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปรับลดดอกเบี้ย

 

"ความเห็นกฤษฎีกา มองว่ายิ่งตอกย้ำความเสี่ยงทางกฎหมายของรัฐบาล มาถึงวันนี้ผมว่ารัฐบาลกำลังไปได้ดี  มีหลายเรื่องหากปรับจูนอีกสักเล็กน้อยจะช่วยประเทศและประชาชนได้อีกมาก เช่นเรื่องแก้ปัญหาหนี้ หรือแม้แต่ land bridge ซึ่งหากปรับเป็นการส่งเสริม SEC ตามที่หลายคนแนะนำแทนการขายการประหยัดเวลาเดินเรือ ก็จะเป็นประโยชน์ได้มาก นำเงิน 5 แสนล้านมาช่วยลดหนี้ชาวบ้าน หรือลงทุน SEC น่าจะคุ้มกว่า และเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลมากกว่า หากเสี่ยงเดินหน้าต่อ โอกาสสะดุดสูง มาถึงวันนี้ทางการเมืองไม่จำเป็น ทางเศรษฐกิจยิ่งไม่คุ้ม"นายกรณ์ กล่าว

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.