ตรุษจีนปี 67 คึกคักแค่ไหน ? ดักทางหุ้นรับอานิสงส์
นับถอยหลังเข้าสู่ "เทศกาลตรุษจีน (Chinese New Year)" ปีมังกร ในวันเสาร์ ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน เทศกาลสำคัญของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีน โดยวันแรกเรียกว่า "วันจ่าย" ตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 คนไทยเชื้อสายจีนจะออกมาจับจ่ายซื้อของจัดเตรียมอาหาร, เครื่องดื่ม, ของไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าต่างๆ
ในวันรุ่งขึ้นเรียกว่า "วันไหว้" ตรงกับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ในช่วงเช้ามืดจะเริ่มพิธีไหว้ไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าต่างๆ และวันถัดไป เรียกว่า "วันเที่ยว" ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นวันที่ทุกคนจะแต่งตัวสีสันสดใส พากันไปเที่ยว พบปะสังสรรค์ เยี่ยมเยือนญาติ ไหว้ขอพรผู้ใหญ่ เป็นต้น
จากสถิติในอดีตช่วง "เทศกาลตรุษจีน" มักจะมีเม็ดเงินจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวทั้งจากคนในประเทศและชาวต่างชาติมาเที่ยวไทย โดยเฉพาะชาวจีนนั้นเงินสะพัดกว่าหมื่นล้านบาท
แต่ด้วยเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป "ตรุษจีน" ปีนี้จะดีเหมือนในอดีตหรือไม่ ?
"ภาพรวมเทศกาลตรุษจีนปีนี้ มองว่าไม่คึกคักเหมือนในอดีต แม้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าช่วงของฤดูกาล หรือ เทศกาลน่าจะมีการจับจ่ายใช้สอย มีการกระตุ้นในช่วงเทศกาลเหมือนทุกครั้ง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจระดับมหภาคว่าฟื้นตัวดีหรือไม่ และภาคการบริโภคฟื้นตัวได้ดีหรือไม่
พอเรามาดูเศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจโลกมองว่ายังมีความไม่มั่นคงพอสมควร เช่น เศรษฐกิจจีนในปี 2567 ทางประธานาธิบดีของจีนออกมายอมรับว่าประสบกับความยากลำบากเหมือนกัน
ทั้ง ภาคอสังหาฯจีนที่มีปัญหาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ลามมาถึงสถาบันการเงินเริ่มมีการล้มจากลูกหนี้ผิดนัดชำระ การที่เศรษฐกิจจีนเติบโตไม่ได้ตามเป้าหรือเติบโตน้อยลง เราจะคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในช่วงฟรีวีซ่า เดินทางมาจับจ่ายใช้สอยจำนวนมากนั้นเราอาจจะต้องลดทอนความคาดหวังเพราะอาจจะไม่ได้หวือหวามาก" นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์"
รู้ก่อนซื้อ! หุ้นเทศกาล
ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่หลายคนอาจจะมองเรื่องการจับจ่ายใช้สอยในประเทศเป็นหลัก ทำให้มองว่า "หุ้นค้าปลีกในประเทศ" อาจได้รับอานิสงส์ แต่อย่างที่บอกว่าเศรษฐกิจระดับโลกมหภาคยังดูมีความไม่มั่นคงการจับจ่ายอาจไม่ได้หวือหวา
อีกทั้ง "ราคาสินค้าโภคภัณฑ์" ที่หลายคนอาจจะมองว่าในช่วงเทศกาลจะมีการตุนสินค้า(รีสต็อก)ก่อนหยุดยาว อย่าง จีนจะหยุดยาวช่วงตรุษจีนราว 1 สัปดาห์จะมีการเร่งสั่งสินค้าก่อน ซึ่งในอดีตราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ค่าระวางเรือ , ราคาสินค้าเกษตร , อาหาร เป็นต้น ราคาจะเพิ่มขึ้นจากการเร่งตุนสินค้า แต่ในปี 2567 นี้อาจจะมีพฤติกรรมคล้ายเดิม เพียงแต่หุ้นที่เชื่อมโยงนั้นอาจไม่ขยับขึ้นตาม เช่น พวกสินค้าปิโตรเคมี ปกติจะมีการรีสต็อกแต่รอบนี้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์มีแต่ราคาลงกับทรงตัว เพราะภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่เอื้อ
ขณะที่ "ค่าระวางเรือ" ที่ปกติจะเพิ่มขึ้นตามรอบการขนส่งช่วงเทศกาลมองว่าไม่ได้รับอานิสงส์มากขนาดนั้น แต่ด้วยค่าระวางมีปัจจัยอื่น เช่น ความไม่สงบในแถบทะเลแดงทำให้ค่าระวางเรือตู้ และเรือเทกองเพิ่มขึ้นได้ เป็นต้น
"ตลาดหุ้นไทยหุ้นหลายตัวไม่ได้ตอบรับช่วงเทศกาลมากนัก อย่าง ช่วงปีใหม่คนน่าจะจับจ่ายใช้สอยเยอะ หุ้นน่าจะดีตามก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งคนคาดหวังว่าเทศกาลนี้จะมีการบริโภคที่เยอะขึ้นก็อาจจะจริง แต่รอบนี้อาจจะไม่ได้ขึ้นด้วยเทศกาล อย่าง หุ้นเนื้อสัตว์รอบนี้อาจจะขึ้นด้วยราคาเนื้อสุกรที่ขยับขึ้น หลังจากกำจัดหมูเถื่อน หรือ ต้นทุนการผลิตลดลง จากราคาข้าวโพด , กากถั่วเหลืองในต่างประเทศลดลงทำให้ราคาราคาขายสินค้าเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น
แต่การเพิ่มขึ้นครั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังว่าจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG, บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG และ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT คึกคักจากช่วงเทศกาล แต่มองว่าขึ้นจากปัจจัยบวกเฉพาะตัวมากกว่า ทั้ง ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง ราคาขายเนื้อสัตว์ขยับขึ้น แต่สุดท้ายอาจจะไม่เห็นเข้ามาในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียนอย่างมีนัยยะสำคัญ"
ระวัง! หุ้นปิโตร-เรือ-สินค้าฟุ่มเฟือย
สิ่งที่ควรพิจารณามากกว่าช่วงเทศกาล คือ พื้นฐานของหุ้นยังแกร่งเหมือนเดิมหรือไม่ หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เช่น "หุ้นปิโตรเคมี" เรื่องส่วนต่างผลิตภัณฑ์ดูแย่ลงมาโดยตลอด เศรษฐกิจจีนไม่ค่อยเอื้อ ดังนั้นก่อนหยุดตรุษจีนแล้วคนคาดหวังว่าจะมีการรีสต็อกจะทำให้ราคาหุ้นปิโตรฯ ทั้ง PTTGC , IVL ขยับขึ้นตามก็คงไม่ใช่
อย่างกรณี PTTGC มีความกังวลเรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯก็อาจจะเป็นปัจจัยที่ไม่ทำให้มีการเร่งขึ้นรับตรุษจีนเหมือนทุกครั้งที่เคยเห็น ดังนั้นสถิติช่วงเทศกาลที่ทุกคนคาดหวังว่าเทศกาลนี้มาแล้วหุ้นพวกนี้จะมาด้วยอาจจะต้องปรับโหมดใหม่มาดูที่พื้นฐานมากกว่าว่ามีปัจจัยอื่นที่นอกเหนือปัจจัยฤดูกาลกดดันหรือไม่
ขณะที่ "หุ้นเรือเทกอง เรือตู้" เน้นเก็งกำไรตามหน้างาน หากเกิดกรณีกลุ่มกบฏฮูตีโจมตีเรือ ค่าระวางจะกระโดดขึ้นไป คนก็แห่เข้าไปเก็งกำไร ดังนั้นจะถือลงทุนระยะยาวไม่ได้ เพราะถ้าหากสถานการณ์คลี่คลาย กลับมาสู่ภาวะปกติ ราคาหุ้นจะร่วง
ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆอาจไม่ได้มีนัยยะสำคัญ อย่าง ร้านอาหาร หรือช้อปช่วยชาติ 50,000 บาทลดภาษีที่น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้านั้น มองว่าช่วงตรุษจีนเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้น เพราะจะมีการให้ "แต๊ะเอีย"ที่ไม่มีใครรู้ว่าได้มากได้น้อย ส่วน 50,000 บาทลดภาษีนั้น คนที่จ่ายภาษีในระบบราว 3-4 ล้านคน มักจะซื้อเต็มกำลังเพื่อนำมาลดภาษีเป็นปกติทุกปี แต่มองว่ายอดไม่ได้ต่างไปจากเดิม เพียงแต่อาจจะได้เม็ดเงินแต๊ะเอียมาช่วยทำให้ยอดขายสินค้าจำเป็นอาจจะเพิ่มขึ้น
แต่ให้ระวังสินค้าฟุ่มเฟือยอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก หากสังเกตุในช่วงต้นปีจะเห็นว่าหุ้นที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือยไม่ค่อยขึ้น ทั้ง COM7, JMART, CPN เพราะเวลาเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคจะตัดสินค้าพวกนี้ก่อน แล้วโฟกัสพวกสินค้าจำเป็น
"เวลาเศรษฐกิจไม่ดีคนเดินแมคโครฯซื้อของน้อยลง แต่หันมาซื้อของเล็กๆใน 7-ELEVEN มากกว่า ซึ่งเป็นไปตามกำลังซื้อ เพราะเวลาดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น คนผ่อนบ้านเริ่มมีเงินจำกัด เศรษฐกิจเริ่มชะลอ รายจ่ายต่อหัวลดลงเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นถ้ามองว่าค้าปลีกมา แต๊ะเอียแจก การซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นคงจะคาดหวังพวกสินค้าฟุ่มเฟือยไม่ได้เยอะ ส่วนมาตรการซื้อของ 50,000 บาทลดภาษีอาจจะช่วยได้ระดับหนึ่งแต่คงไม่ได้มาก เพราะมีแค่ 3-4 ล้านคนที่พร้อมจะจ่าย ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศที่เสียภาษีดังนั้นก็ระวังหุ้นสินค้าฟุ่มเฟือย"
โอกาส "หุ้นไทย" ฟื้น ?
ถ้าจะเห็นตรุษจีนมาทรงดี หุ้นขึ้นดี ต้องรอเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจนก่อน อาจจะเห็นปี 2568 ก็เป็นได้ หรือรอดอกเบี้ยยุโรปและอเมริกาปรับลดลง ส่วนดอกเบี้ยไทยจะลดลงน้อยกว่าเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยเริ่มแคบเข้าหากัน เม็ดเงินที่เคยขายจากหุ้นไทยไปซื้อต่างประเทศเพราะดอกเบี้ยสูงกว่า อาจจะมีการเคลื่อนย้ายการลงทุนเช่นกัน ซึ่งต้องดูค่าเงินบาทด้วยว่าจะกลับมาแข็งค่าในช่วงปลายปีนี้หรือไม่เพราะหากส่วนต่างดอกเบี้ยเริ่มแคบลงคาดว่าจะเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยหนุนการบริโภคในประเทศ เพราะเวลาที่บาทแข็งกำลังซื้อจะแข็งแกร่งขึ้น เช่น ราคาน้ำมันจะถูกลงเพราะมีการนำเข้า เป็นต้น
ดังนั้นต้องมาดูเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง หากดอกเบี้ยไทยกลับมาสู่จุดสมดุล คือ ดอกเบี้ยลดลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ในช่วงปลายปี ฝั่งอเมริกา ดอกเบี้ยลงมาเหลือ 4.5% จะเห็นว่าดอกเบี้ยเริ่มแคบลง แทนที่ดอกเบี้ยไทยกับอเมริกาจะห่างกัน 3.5% ลงมาเหลือแค่ 2% หรือ 1.5% มาอยู่ที่จุดสมดุลจะทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทย และหุ้นค้าปลีก หุ้นเทศกาลตรุษจีนปี 2568 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดซีซั่นนอลแพทเทิร์นเกิดขึ้นได้
เน้นหุ้นพื้นฐานดี-เสี่ยงต่ำ
"สรุปแนะนำสะสมหุ้น CPF ราคาเป้าหมาย 26 บาท , บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท, BTG ราคาเป้าหมาย 33.5 บาท , GFPT , CPALL ราคาเป้าหมายอิง DCF ที่ 66 บาท เน้นหุ้น Defensive พื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และมีการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสม่ำเสมอ แล้วราคาหุ้นโดนต่างชาติขายค่อนข้างเยอะ และโดนกดดันด้วยปัจจัยหลายๆเรื่องมานานไม่ว่าจะเป็นหมูเถื่อน ทำให้ราคาอยู่ด้านล่างจนเกือบหมด พอทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย บวกราคาสินค้าเกษตรที่เรานำเข้ามาเยอะ ราคาเริ่มลดลงทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์เริ่มลดลงถือว่าน่าสนใจ"
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น CPF ปิดการซื้อขายวันที่ 12 ม.ค.67 อยู่ที่ 19.10 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 150.75 ล้านบาท
ราคาหุ้น CPALL อยู่ที่ 55 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท คิดเป็น +1.38% มูลค่าการซื้อขาย 1,260.47 ล้านบาท
ราคาหุ้น BTG อยู่ที่ 24 บาท ลดลง 0.40 บาท คิดเป็น -1.64% มูลค่าการซื้อขาย 36.01 ล้านบาท
ราคาหุ้น GFPT อยู่ที่ 11.50 บาท ลดลง 0.10 บาท คิดเป็น -0.86% มูลค่าการซื้อขาย 9.49 ล้านบาท
ราคาหุ้น TFG อยู่ที่ 3.76 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 14.13 ล้านบาท
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.