เงินบาทสัปดาห์นี้35.00-35.65ส่วนวันนี้35.30-35.50บาท/ดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย คาดเงินบาทสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวที่ 35-35.65 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนเงินบาทวันนี้ในกรอบ 35.30-35.50 บาทต่อดอลลาร์ สำหรับค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  35.39 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ  35.48 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับทิศทางเงินบาทในสัปดาห์นี้ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของทั้งสหรัฐฯ และจีน พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด และรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง (แกว่งตัวในกรอบ 35.30-35.48 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำ โดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท Krungthai GLOBAL MARKETS มองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยมีโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญ ซึ่งเงินบาทจะอ่อนค่าต่อ หรือ พลิกกลับมาแข็งค่าอาจต้องรอลุ้นทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.

ทั้งนี้ เงินบาทอาจได้รับอานิสงส์จากการแข็งค่าของเงินหยวนจีน (CNY) หากรายงานดัชนี PMI จีนออกมาดีกว่าคาด และที่สำคัญ โฟลว์ธุรกรรมทองคำยังคงส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้ ซึ่งต้องจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด หลังล่าสุดราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้าน เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรได้ (โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้นมองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดยังคงสนับสนุนเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมามองว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน “Higher for Longer” พร้อมกับเริ่มปรับลดโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงได้ “เร็วและลึก” กว่าที่เฟดได้ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนตุลาคม และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาประเมินว่า เฟดมีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งภาพดังกล่าวจะส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ควบคู่ไปกับ การติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด รวมถึง รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่าง ๆ (Fed Beige Book) ว่าจะสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ของเฟดสาขาต่าง ๆ อย่างไรบ้าง

โดยหากกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น จากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจก่อนหน้า ก็อาจเป็นปัจจัยให้เฟดดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งเรายังคงมองว่า เฟดอาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ไปก่อน และเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยลงได้ หากเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้นชัดเจนและเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า หากคาดการณ์ของเราไม่ผิดพลาด

ด้านฝั่งยุโรป – ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB โดยในส่วนของ ECB นั้น ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และมีโอกาสที่ ECB จะลดดอกเบี้ยลงในปีหน้าไม่น้อยกว่า -75bps ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็อาจได้แรงหนุนจากรายงานอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของยูโรโซน ที่จะชะลอลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.9% (ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI จะชะลอลงสู่ระดับ 2.7%) 

ในส่วนเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการบริการที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.1 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ขณะที่ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของจีน อาจยังอยู่ในภาวะหดตัว โดยดัชนี PMI ภาคการผลิต จะยังคงต่ำกว่าระดับ 50 จุด

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น นักวิเคราะห์ต่างคาดว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้รับอานิสงส์จากการภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก โดยภาพดังกล่าวจะสะท้อนจาก ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนตุลาคมที่จะโตกว่า +5.9%y/y ในส่วนนโยบายการเงินนั้น ตลาดประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อจะหนุนให้ทั้งธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) และธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.50% และ 5.50% ตามลำดับ 

ขณะที่มองสถานการณ์ในเมืองไทยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% หลังล่าสุดแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อรวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจอาจลดลงกว่าที่ กนง. เคยประเมินไว้บ้าง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ รวมถึงความไม่แน่นอนของแนวโน้มบรรดาเศรษฐกิจหลัก

ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ยอดการส่งออกของไทยในเดือนตุลาคม มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้น ราว +9%y/y ตามความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Semiconductor ที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนสินค้าเกษตรและอาหารก็ยังขยายตัวได้ดี ขณะที่ ยอดการนำเข้าอาจโตราว +6%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจเกินดุล +530 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ การฟื้นตัวดีขึ้นของการส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 4 จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีนี้ได้

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.