"ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม" ผ่าปมเขากระโดง ยึดคำตัดสินศาลฎีกาเป็นที่รฟท.
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 สืบเนื่องจากกรณีอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195-1196/2566 เรื่อง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 12 พ.ค.2566 เพื่อดำเนินการกับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแยกเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 995 ฉบับ อันเป็นการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ต่อมาเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และฝ่ายบริหารโครงการพัฒนาที่ดินและฝ่ายการช่างโยธา ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของ รฟท. ได้ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อชี้แนวเขตและทำการรังวัดที่ดินของ รฟท. บริเวณแยกเขาระโดง จ.บุรีรัมย์ 5,083 ไร่ จนแล้วเสร็จ และจัดส่งข้อมูลการรังวัดที่ดินให้คณะกรรมการสอบสวนฯพิจารณา
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ต.ค.2567 นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ได้ทำหนังสือแจ้ง เรื่อง การเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีเนื้อหาสรุปได้ว่า คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดง เนื่องจากการรถไฟไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟ
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชนคนดัง เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวโพสต์ทูเดย์ว่า กรณีที่ดินเอกสารสิทธิทับที่ดินเขากระโดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นมหากาพย์ที่ยาวนาน ประชาชนอาจสับสนว่า คำพิพากษาศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลปกครองกลาง มันขัดแย้งกันหรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้มติที่คณะกรรมการสอบสวนฯของกรมที่ดินที่ตั้งคณะกรรมการหยิบมาพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดว่า ไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดง เนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของ รฟท. มติดังกล่าว มีผลทางกฎหมายเพียงใด
มติคณะกรรมการสอบสวนฯเป็นคำสั่งทางปกครองไม่เป็นที่สุด
จึงขอให้ความรู้ด้านกฎหมายมหาชนให้แก่ประชาชนอีกแง่มุมหนึ่งว่า มติคณะกรรมการสอบสวนที่กรมที่ดินใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดินตั้งขึ้นมาตามมาตรา 61 เป็นการที่อธิบดีกรมที่ดินใช้อำนาจตามกฎหมายในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาเพิกถอนที่ดินตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางหรือไม่ คำวินิจฉัยไม่เพิกถอน เป็นเพียงคณะกรรมการสอบสวนฯวินิจฉัยเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายมีผลกระทบต่อสถานภาพสิทธิมของการรถไฟแห่งประเทศไทย ถือว่า เป็นคำสั่งทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 5 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบสวนที่ดินมีผลกระทบต่อการรถไฟ ยังไม่เป็นที่สุด
หากการรถไฟแห่งประเทศไทยเห็นว่ามติของคณะกรรมการสอบสวนฯไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมใช้สิทธิฟ้องต่อศาลปกครองภายใน 90 วันนับแต่ได้รับทราบผลมติวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบสวนฯของชุดที่กรมที่ดินตั้งขึ้น เพื่อเพิกถอนคำสั่งทางปกกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1) ประกอบมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 หากไม่ฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง กระบวนการขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยสิ้นสุดทันที
คำพิพากษาศาลปกครอง-ศาลยุติธรรมแยกจากกัน
ส่วนคำพิพากษาของศาลยุติธรรม กับคำพิพากษาศาลปกครอง ในประเทศไทยใช้ระบบศาลคู่ ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นโดยผลของรัฐธรรมนูญ 2540 ผลคำพิพากษาของทั้งสองศาล แยกต่างหากจากกัน ประชาชนอาจสับสวน คำพิพากษาศาลยุติธรรม คือ คำพิพากษาของศาลฎีกาถือเป็นศาลสูงสุด หากเป็นคดีแพ่ง คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีและต้องบังคับตามคำพิพากษา
ส่วนคำพิพากษาศาลปกครอง เป็นเรื่องระหว่างหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชน หรือหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน พิพาทกัน คดีที่จะใช้สิทธิฟ้องศาลปกครอง แยกเป็น 4 กลุ่ม คือ คำสั่งทางปกครอง การกระทำทางปกครอง การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ และสัญญาทางปกครอง เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาทั้งสองศาล ต้องแยกต่างหากจากกัน เพราะคู่ความแตกต่างกัน มีผลเฉพาะคู่ความเท่านั้น แตกต่างจากศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่ แห่งรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาด ผู้กพันทุกองค์กร คำพิพากษาของศาลปกครอง ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ถือตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรม
มีเพียงศาลยุติธรรมในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือตามคำพิพากษาส่วนอาญาเท่านั้นและมีผลเฉพาะคู่ความ
ที่ดินเขากระโดงเป็นของการรถไฟฯ
กรณีที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือที่เรียกว่า คดีเขากระโดงหากพิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 – 876 /2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้ง ว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตสร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พ.ย.2462 เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง จึงถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยมีข้อเท็จจริงว่า ที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของการรถไฟที่ได้มาตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวงพระพุทธศักราช 2464 และถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง กรมที่ดิน จึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองและป้องกันที่ดินบริเวณดังกล่าวตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2557
ประกอบกับ เมื่อมีข้อเท็จจริงที่มีผลเกี่ยวเนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาทั้ง 2 คดีดังกล่าวว่า อธิบดีกรมที่ดิน ได้มีคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 2992/2564 ลงวันที่ 11 พ.ย.2564 แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ข.) เลขที่ 200 หมู่ที่ 9 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 13) ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 และสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดำเนินการยกเลิกใบไต่สวน พร้อมจำหน่าย ส.ค.1 เลขที่ 209 หมู่ที่ 1 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ออกจากทะเบียนการครอบครองที่ดิน และยกเลิกเรื่องการขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 40 ฉบับของประชาชนจำนวน 35 ราย ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560
ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ใช้ยันบุคคลภายนอกได้
รวมทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดบุรีรัมย์ และเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 206 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งที่ดินทั้งหมดข้างต้นเกิดขึ้นในพื้นที่ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวอ้างว่า เป็นการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้ง 2 คดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆนอกเหนือจากที่ปรากฎเป็นข้อพิพาทในคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึง ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) จึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่ บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
ตรงนี้แหละที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้หยิบเอาผลของคำพิพากษาศาลฎีกา มาร้องขอให้อธิบดีกรมที่ดิน เพื่อดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิแสดงกรรมสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณแยกเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 995 ฉบับ
หากพิจารณาจากกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 2 ว่า ให้กรมที่ดินมีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ จากข้อกำหนดในกฎกระทรวงดังกล่าว เห็นได้ว่า กรมที่ดิน มีภารกิจหน้าที่ในการคุ้มครอง ดูแลและรักษาที่ดินของรัฐทุกประเภท และอธิบดีกรมที่ดิน ในฐานะผู้บังคับบัญชา ก็ย่อมมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้กรมที่ดิน ให้สำเร็จลุล่วงตามภารกิจที่ถูกกำหนดไว้
การรถไฟแห่งประเทศไทย ใช้ช่องทางนี้ ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยอ้างว่ากรมที่ดิน หน่วยงานของรัฐ อธิบดีกรมที่ดิน เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ตาม พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2)
หากพิจารณาจาก คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 วินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน) ละเลยต่อหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีหน้าที่ในการดำเนินการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาตามคำร้องขอของผู้ฟ้องคดี (รฟท.) เพื่อตรวจสอบถึงความถูกต้องในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินบริเวณที่พิพาทว่าเป็นการออกโดยทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือไม่
คำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง ตรงนี้ เป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่ดินเขากระโดง นำไปสู่มติไม่เพิกถอน อ้างความไม่ชัดเจนของเอกสารสิทธิ์ หมายความว่า อธิบดีกรมที่ดิน ปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางแล้ว เมื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ทำให้เกิดคำสั่งทางปกครอง ฉบับใหม่เกิดขึ้น
แผนที่ท้ายพรฎ.จัดซื้อที่ดินไม่ยืนยันแน่ชัดคือปมปัญหา
การโยนภาระการพิสูจน์เอกสารสิทธิ์ เป็นภาระของการรถไฟ เพราะเพิกถอนทีดินที่อยู่นอกเหนือคำพิพากษาของศาลฎีกาด้วย และแผนที่ ท้าย พรฎ.การจัดซื้อที่ดินฯ ไม่มียืนยันแน่ชัด โดยเปิดช่อง ให้คณะกรรมการสอบสวนฯใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นได้ เพราะเป็นคำสั่งทางปกครอง ที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกาและไม่ขัดต่อคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เพราะคำพิพากษาไม่ได้บังคับให้เพิกถอน แต่ไปออกช่องให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำให้เปิดช่องให้ คดีกลับไปสู่สารตั้งต้นในการพิสูจน์สิทธิ์ในที่ดินใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มติของคณะกรรมการสอบสวนฯ กรมที่ดิน มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดง เนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐาน เป็นที่ข้อยุติว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของ รฟท.ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่
มติคณะกรรมการฯเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ไม่ได้
ดร.ณัฏฐ์ มือกฎหมายมหาชนคนดัง กล่าวว่า คำวินิจฉัยชี้ขาดของมติคณะกรรมการสอบสวนฯ กรมที่ดิน เป็นคำสั่งทางปกครอง ใหม่ที่เกิดขึ้น แยกต่างหากจากคำพิพากษาศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลปกครองกลาง สะท้อนให้เกิดแตกเป็นคดีใหม่ คดีเดิมยังทำอะไรไม่ได้ เป็นการประวิงเวลา อีกประการหนึ่งเปิดช่องมิให้ อธิบดีกรมที่ดิน หรือ เจ้าหน้าที่ที่ดินที่เกี่ยวข้องมิให้ถูก ดำเนินคดีอาญามาตรา 157 โดยอ้างว่า ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางแล้ว แต่มติคณะกรรมการสอบสวนไม่เพิกถอน เป็นคำสั่งทางปกกครองใหม่เกิดขึ้น ยังเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ไม่ได้
แต่หากพิจารณาถึงประเด็นแนวทาต่อสู้ เป็นจุดอ่อนของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำพิพากษาระบุตอนหนึ่งว่า มีหนังสือกรมที่ดิน ลับ ที่ มท 0516.2/15572 ลงวันที่ 27 ก.ค.2564 ขอให้การรถไฟ ชี้แจงว่า แผนที่แสดงเขตที่ดินของการรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ลงวันที่ 27 พ.ย.2465 หรือไม่
มีหนังสือการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ รฟ 1/2281/2564 ลงวันที่ 20 ส.ค.2564 แจ้งตอบผู้กรมที่ดิน ว่า ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ไม่มีแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินฯ มีเพียงแผนที่แสดงเขตที่ดินของการรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง ซึ่งเป็นเอกสารที่ยื่นในคดีพิพาทต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) จึงมีหนังสือกรมที่ดิน ลับ ที่ มท 0516.2 ลงวันที่ 27 ก.ย.2564 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดี(รฟท.)นำส่งแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ หรือนำครอบแผนที่อีกครั้ง พร้อมทั้งแจ้งว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาทั้ง 2 คดีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง ไม่ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่สามารถดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอนตามมาตรา 61 วรรคแปด แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้
การตอบคำถามโดยยืนยันข้อเท็จจริง เป็นการเปิดช่องในเรื่อง แผนที่ที่ดิน เป็นภาระการพิสูจน์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพราะฟ้องให้อธิบดีกรมที่ดิน ฟ้องเพิกถอนทั้งหมด นอกเหนือที่ปรากฏในคำพิพาษาของศาลฎีกาทั้งฉบับและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หนึ่งฉบับ คือ ฟ้องเหมารวมทั้งทั้งหมด แต่คำพิพากษาของศาลฎีกาผูกพันเฉพาะคู่ความที่ศาลให้เพิกถอนเท่านั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงบุคคลอื่นที่ถือครองและไม่ใช่เป็นบริวารของคู่ความ
ผู้กุมอำนาจมหาดไทยได้ประโยขน์ที่เขากระโดงอีกนาน
ดังนั้น ที่อธิบกรมที่ดิน หยิบเอา “แผนที่ท้ายตามพ.ร.ฎ.ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ลงวันที่ 27 พ.ย.2465 ” มาหักล้าง ทำให้คณะกรรมการสอบสวน หยิบมาพิจารณาเปิดช่องใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นได้ เป็นเพียงเทคนิคทางกฎหมายมหาชนในคดีปกกครอง ในการใช้คำสั่งทางปกครอง ประวิงเวลาในการพิเพิกกถอน ไม่ต่างจากจะต้องเริ่มฟ้องใหม่ เพราะคำพิพากษาคดีแพ่งผู้กพันเฉพาะคู่ความ ไม่ได้เหมารวมถึงที่ดินแปลงอื่น เปิดช่องประวิงให้ประวิงเวลา หากใช้เวลาฟ้องเพิกถอนคำสั่งใหม่ ต้องใช้ระยะเวลานาน ส่งผลให้กลุ่มพรรคพวกของหมอผี บุรีรัมย์ ที่กุมอำนาจเสร็จเด็ดขาดในกระทรวงมหาดไทยขณะนี้ ใช้ประโยชน์ในที่ดินเขากระโดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐอีกนาน
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.