จับตาคลัง-ธปท.แก้ปมบาทแข็ง-วายุภักษ์-โกลเด้นวีค SETสัปดาห์หน้าไซด์เวย์

ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดการซื้อขายวันนี้(27 กันยายน 2567) อยู่ที่ 1,450.15 จุด ลดลง 4.88 จุด คิดเป็น -0.34% มูลค่าการซื้อขาย 60,569.97 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,460.55 จุด และลดลงต่ำสุด 1,446.60 จุด

     5 หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด ดังนี้

     1. PTTEP ปิดที่ 132 บาท ลดลง 5.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,420.94 ล้านบาท

     2. EA ปิดที่ 9.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.85 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,360.37 ล้านบาท

     3. KBANK ปิดที่ 149.50 บาท ลดลง 4.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,273.12 ล้านบาท

     4. BBL ปิดที่ 150 บาท ลดลง 4 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,710.40 ล้านบาท

     5. CPALL ปิดที่ 66.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,105.48 ล้านบาท

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้(27 ก.ย.67) ปิดลดลง 4.88 จุด สอดคล้องตลาดหุ้นฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ โดยตลาดรอการรายงานเงินเฟ้อ PCE เย็นวันนี้ โดย Sector ที่ปรับขึ้นหนุนดัชนีคือ กลุ่ม transport BA, AAV, AOT กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC, TASCO ฯลฯ กลุ่มที่กดดัชนีคือส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธนาคาร BBL, KBANK กลุ่มพลังงาน PTTEP, BGRIM ฯลฯ 

     หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ หุ้น MALEE ราคาเพิ่มขึ้น 0.79% ผลจากประเด็นบวกที่น่าสนใจคือ 1)เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มสินค้าสุขภาพสูงที่กำลัง Turnaorund หลังควบรวมกับ ABICO ช่วยลดต้นทุนและลดความผันผวนของธุรกิจ 2)อุตสาหกรรมน้ำผลไม้กลับมาเติบโต และ MALEE มี Marketshare ขึ้นเป็นอันดับ 1 3)MALEE มีแบรนด์น้ำมะพร้าว ที่เป็นสินค้าเด่นไทย จะมีโอกาสูง 4)Upside ใหม่ๆที่จะเข้ามาได้แก่การวางจำหน่ายสินค้าน้ำมะพร้าวใหม่ และออเดอร์ OEM ใหญ่ 2 รายการเริ่มผลิตและส่งมอบใน 2Q25F ฝ่ายวิเคราะห์รวม Upside ดังกล่าวในประมาณการแล้ว แนะนำ Buy ที่ TP25F 17.7 บาท

     หุ้น STGT เพิ่มขึ้น +5.98% , NER +0.93% หุ้นกลุ่มยางธรรมชาติปรับขึ้นตอบรับราคายางทำราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี 6 เดือน รวมถึง STGT ที่ประกอบธุรกิจถุงมือยางได้รับประเด็นบวกจากกระแสข่าว US-China Tariff ขึ้นภาษีนำเข้าถุงมือยางกับจีน (ประเด็นเดิม) USTR จะปรับขึ้นภาษีถุงมือทางการแพทย์เป็น 25% ในปี 2026 และจะเพิ่มอัตราภาษีเป็น 50% ในปี 2025 และจะเพิ่มเป็น 100% ในปี 2026  หนุนแนวโน้มราคายางและการขายถุงมือยางเพิ่มขึ้น แนะนำ Trading buy STGT ที่ TP25F 14.28

     หุ้น AAV +6.82% , BA +6.09% กลุ่มสายการบินปรับขึ้นจากประเด็นบวกสองประเด็น คือ 1)ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง โดยน้ำมันดิบ Brent -2.53%d-d ปิดที่ US$ 71.6/barrel. น้ำมันดิบ West Texas -2.9%d-d ปิดที่ US$67.7/barrel และ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาที่ระดับ 32.4+/- ต่อดอลลาร์ อีกครั้งหนุนต่อกลุ่มสายการบินที่มีหนี้ต่างประเทศสูงใช้น้ำมันเป็นต้นทุน 2)สัปดาห์หน้าจะเป็น Golden Week ของประเทศจีน ซึ่งคาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะเลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลัก ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและกลุ่มธุรกิจสายการบิน เราชอบ AAV โดยประเมิน Sensitivity เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาท กลุ่มที่มี Upside บวกต่อกำไร มากที่สุดคือ AAV ทุกๆ 1 บาท Upside 1 พันล้านบาท (54% ของกำไรปี 2024) นอกจากนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะช่วย AAV ในฐานะที่มีฐานลูกค้าจีนสูงกว่าสายการบินอื่นๆ เพิ่มเติม แนะนำ Buy AAV ที่ TP25F 2.86 บาท

     หุ้น PSL +2.21% , TTA +2.42% , RCL +2.94% หุ้นกลุ่มขนส่งทางเรือปรับตัวขึ้น รับแรงหนุนจากตัวเลขค่าระวางเรือ Baltic Dry Index ที่ปรับเพิ่มขึ้นแรง +3.72% สะท้อนถึงความต้องการใช้เรือขนส่งสินค้าทั่วโลก และ เศรษฐกิจจีนที่เก็งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคาดว่าจะหนุนภาพ Logistic และการขนส่งสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ แนะนำเพียง Trading buy 

     หุ้น ERW +5.05% , AWC +0% หุ้นกลุ่มโรงแรมปรับขึ้นเก็ง Golden week ของจีนในอาทิตย์หน้าซึ่งจะหนุนภาคการท่องเที่ยวไทย ประกอบกับภาพเก็งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย เราชอบ AWC เป็น Top pick ของกลุ่ม 2 ขับเคลื่อนโดยการขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรม ทรัพย์สินในทำเลสำคัญ และอัตรากำไรที่สูงขึ้น รวมถึง ธุรกิจให้เช่าและพาณิชย์ ซึ่งสร้าง EBITDA 45% ของกลุ่ม ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและมีอัตรากำไรสูง แนะนำ Trading Buy AWC ที่ TP25F 4.40 บาท

ประเด็นเด่นสัปดาห์หน้า

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า รอดูทิศทางนโยบายการเงิน หลัง รมว.คลังจะหารือผู้ว่าแบงก์ชาติเพื่อถกกรอบเงินเฟ้อ ปัจจุบันกรอบเงินเฟ้อ คือ ช่วง 1-3% หากคุยกันได้ และมีแนวทางลงดอกเบี้ย 0.25% ภายในสิ้นปี 2567นี้จะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท หลังเช้านี้แข็งค่าหลุด Low เดือน ม.ค.2566 ที่ 32.50 บาท เป้าหมาย 32.40 บาท และ 31.30 บาทก่อนจะกลับมาอ่อนค่า

     ขณะที่ในวันศุกร์ ที่ 4 ต.ค.67 มีรายงานตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐฯ ทั้งการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และอัตราการว่างงาน หากประเมินจากข้อมูลในอดีตจของตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯที่มีแนวโน้มลดลง (สะท้อนภาวะการมีงานทำ) เชื่อว่าจะทำให้อัตราการว่างงานปรับตัวน้อยลงตามไปด้วย

1500 เป้าสูงสุด

     นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยทางเทคนิค บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า หุ้นไทยช่วงนี้ยังมีลักษณะแกว่งตัวไซด์เวย์อัพ ขณะที่สัญญาณความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า(ระหว่างวันที่ 30 ก.ย. - 4 ต.ค. 2567) มองแนวต้าน 1,470 - 1,500 จุด แนวรับ 1,440-1,430 จุด ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ยังมองว่าดัชนีมีโอกาสได้ไปต่อ

รีบาวด์ใกล้แนวต้านสำคัญ

     ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ภาพกราฟหุ้นไทยสัปดาห์หน้า(30 ก.ย.-4 ต.ค.67) SET ดีดตัวขึ้นต่อเนื่องแต่มีอัตราเร่งที่ลดลงสะท้อนถึงระยะสั้นที่อาจมีการพักฐานได้เสมอ เนื่องจาก 2 เดือนที่ผ่านมาขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยเดือนละ 100 จุด รวมแล้ว 200 จุด โดยประมาณและถ้าพักตัวไม่หลุดโซนแนวรับ 1,435 - 1,440 จุด ยังมองภาพทิศทางบวกที่แข็งแรง และในระยะสั้นกำลังลุ้นรีบาวด์ขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญจากทั้งเส้นค่าเฉลี่ยและ Fibonacci 50% บริเวณ 1,484 - 1,491 จุด

     โดยแนะนำเก็งกำไร หุ้น SCGD กราฟขึ้นต่อ เบรกแนวต้าน 7.75 บาท ทำให้กราฟเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง มองมีโอกาสขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านสำคัญ 8 และ 8.20 บาท และ หุ้น TOA กราฟดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง เบรกแนวต้าน 19.20 และ 19.50 บาทขึ้นมาและมีลุ้นขึ้นต่อไปทดสอบแนวต้าน 20.40 บาท หากผ่านได้จะทำ ให้ภาพกลายเป็นทิศทางบวกต่อเนื่องอีกครั้ง

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.