กิโยตินกฎหมายสร้างโอกาสเศรษฐกิจไทยต้องเริ่มแก้ที่ระบบราชการ
เมื่อวันที่ 19กันยายน 2567 ที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จัดการประชุมสัมมนานานาชาติ "Competitive Thailand, Growing Sustainably Together" การนำหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายมาใช้ในไทย
ทั้งนี้ การเสวนาช่วง"การกิโยตินกฎระเบียบในไทย : ประสบการณ์ อุปสรรค และความเป็นไปได้" มีนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร นายกีรติพงศ์ แนวมาลี หัวหน้าทีมปฏิรูปกฎหมาย/นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยและนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. ร่วมเสวนา โดยมีนายจุมพล นิติธรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนากฎหมายกองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า ในฐานะภาคเอกชน เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมผลักดันเรื่องกิโยตินกฎหมายในไทย กฎหมายมีคำว่า"ให้"กับคำว่า"ห้าม"แต่กลับกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจธุรกิจ ดังนั้น ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เกิดความพอดี ที่ผ่านมาในโลกมีการลดกฎระเบียบลง เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของระบอบคอมมิวนิสต์ เข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ ช่วงปี 1985-2010 เศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 5.5 ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
"แต่เป็นที่น่าเสียดายในยุคที่ประเทศกำลังพัฒนาเติบโต2เท่า แต่มีประเทศหนึ่งที่กำลังพัฒนามาตั้งแต่ผมเกิด ผ่านมา20ปี ไม่เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เกินอัตราเฉลี่ยเศรษฐกิจของโลก เพราะเรามีกฎหมายมากเกินไปและไม่สามารถปรับตัวตามวิวัฒนาการของโลกได้ ทั้ง พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง มีใบอนุญาตที่ต้องขอก่อนประกอบกิจการกว่า 4,000 อย่าง จึงทำให้เราจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการปฏิรูปกฎหมาย"
นายกีรติพงศ์ แนวมาลี หัวหน้าทีมปฏิรูปกฎหมาย/นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การกีโยตินกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ กฎหมายไทยเกิดง่ายแต่ตายยากไม่เคยถูกจำกัดทำให้เกิดภาวะสะสม ยิ่งมากยิ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน อาจมีถึงกว่านับแสนฉบับ เป็นภาระต้นทุนเศรษฐกิจ กลายเป็นช่องทางทุจริตให้กับข้าราชการบางคน กฎหมายบางฉบับไม่มีสภาพบังคับส่วนราชการก็ดำเนินการไปพอเป็นพิธี ประเทศไทยมีความพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้
"เรามีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น มาตรา 77แห่งรธน.ปี60 ยกระดับคุณภาพกฎหมายของไทย ตามด้วย พ.ร.บ.ประเมินผลสัมฤทธิ์ฯ เพิ่มความสะดวกในการยกระดับผลักดันประกอบธุกิจ ทำให้ไทยถูกขยับอันดับโลก ประเทศน่าลงทุนจากลำดับ27 เป็นลำดับ21 กระโดดขึ้นมา6อันดับเพราะมีการปฎิรูปกฎหมาย มีพ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ หน่วยงานที่ประสบความสำเร็จ คือ แบงก์ชาติกับ ก.ล.ต. ทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น"
เมื่อปี2562 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เคยทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการขอใบอนุญาตประกอบกิจการในประเทศไทย ได้เสนอให้มีการตัดลดกฎหมายที่เห็นว่าไม่จำเป็นซ้ำซ้อน ไม่มีประสิทธิภาพ ประมาณ39เปอร์เซ็นต์ แนะนำให้มีการปรับแก้ไข 43เปอร์เซ็นต์ ประโยชน์ที่ได้รับทำให้เอกชนประหยัดต้นทุนได้ 1.3แสนล้านบาทต่อปี
"การกิโยตินกฎหมายต้องใช้เวลาในเรียนรู้ หลายเรื่องที่ท้าทาย เช่นแรงจูงใจ ตามกฎหมายให้หน่วยงานตัดโละ กฎหมายอำนาจในมือตัวเอง ในการกำกับดูแล ซึ่งอาจเกิดความไม่คุ้นชิน จึงมีความคิดไม่อยากเปลี่ยนแปลงเพราะถือเป็นงานงอก โดยเฉพาะฝ่ายกฎหมาย ซึ่งถือเป็นด่านแรกของการแก้ไขปัญหา รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังมีส่วนน้อยมากที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ทำให้การตอบโจทย์การแก้ไขกฎหมายไม่มีคุณภาพ"
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวยอมรับว่า ต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎหมาย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาระบบราชการ มีเป้าหมายเพื่อให้บริการที่ดีกับประชาชนให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจได้ดี หากไม่สามารถแก้ไขเพื่อรับความท้าทายของโลกได้ ประเทศไทยก็ไปไม่ได้
แต่ที่น่ากลัวมากกว่า คือระบบราชการเดินด้วยกฎหมาย มีระยะเวลาที่ยาวนาน ทำให้คนภาคราชการ มีพฤติกรรมซ้ำๆในไปสู่การเป็นวัฒนธรรมและกรอบความคิด ถามว่า ก.พ.ร.เกี่ยวข้องอย่างไร เราหวังมากว่าการกิโยตินกฎหมายจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เหมาะสมสอดรับการสังคม อะไรไม่จำเป็นต้องยกเลิก
"ได้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายไปแล้ว 1,094 กระบวนงานโดยเฉพาะที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ผ่านมา10ปีวันนี้ต้องกลับมาทบทวบใหม่ ยังมี 480 กระบวนการที่ต้องดำเนินงานและอีก350 กระบวนการ หน่วยงานระดับปฎิบัติกลับไม่ดำเนินงาน ดังนั้น ภาคการเมืองจะเป็นหน่วยสำคัญเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องนี้"
ทั้งนี้ การกิโยตินกฎหมายให้ประสบความสำเร็จ เรามีการคุยกับทุกภาคส่วนเพราะความต้องการของภาคเอกชนและประชาชนมีมากโดยเฉพาะการทำให้ทั้งเจ้าของธุรกิจและหน่วยราชการงานที่รับผิดชอบเดินไปด้วยกันได้ เพื่อทำให้เกิดความยั่งยืน ต้องรับฟังกันให้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "กิโยตินกฎหมาย" เป็นกระบวนการปฏิรูปกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อกำจัดกฎหมายที่ไม่จำเป็น หรือล้าสมัยออกไปจากระบบกฎหมายของประเทศ ซึ่งมีที่มาจากคำว่า "กิโยติน" (Guillotine) ที่ใช้ในการประหารชีวิตในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส หมายถึงการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ในบริบทของกฎหมาย หมายถึงการคัดกรองและตัดกฎหมายที่ไม่จำเป็นออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการของการใช้กิโยตินกฎหมายคือการทำให้ระบบกฎหมายมีความชัดเจน ลดความซับซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีกฎหมายจำนวนมากและมีความซับซ้อนสูง กระบวนการนี้ช่วยลดความสับสนและเพิ่มความเข้าใจในกฎหมายสำหรับประชาชนและธุรกิจ
การดำเนินการกิโยตินกฎหมายมักเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับทั้งหมด เพื่อพิจารณาว่ากฎหมายใดควรจะคงอยู่ แก้ไข หรือตัดออกไป และอาจเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ เช่น นักกฎหมาย ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป
"กิโยตินกฎหมาย" ในประเทศไทยเป็นแนวคิดที่ถูกนำเสนอเพื่อปฏิรูประบบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่มีความซับซ้อนและล้าสมัย หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมองว่ากฎหมายจำนวนมากที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และยังสร้างภาระให้กับประชาชนและธุรกิจ
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้พยายามดำเนินการตามแนวทางกิโยตินกฎหมายโดยมีเป้าหมายเพื่อ:
1. ลดกฎหมายที่ซ้ำซ้อน: การทบทวนและตัดกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับที่ซ้ำซ้อนหรือล้าสมัยออกไป
2. เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้: ทำให้กฎหมายที่ยังคงใช้งานอยู่มีความชัดเจนและง่ายต่อการปฏิบัติตาม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
3. ส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน: การลดภาระที่ไม่จำเป็นจากกฎหมายและระเบียบข้อบังคับสามารถช่วยให้การดำเนินธุรกิจง่ายขึ้นและดึงดูดการลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ
4. เพิ่มความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม: การทบทวนกฎหมายควรเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
การดำเนินการกิโยตินกฎหมายในประเทศไทยยังคงเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งนี้เพื่อให้ระบบกฎหมายของประเทศมีความทันสมัยและเอื้อต่อการพัฒนาในระยะยาว
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวคิด "กิโยตินกฎหมาย" ในประเทศไทย โดย TDRI ได้เสนอแนะแนวทางและให้ข้อมูลเชิงวิชาการเพื่อสนับสนุนการปฏิรูประบบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศ
บทบาทของ TDRI ในกิโยตินกฎหมาย:
1. การวิจัยและการวิเคราะห์: TDRI ได้ทำการวิจัยและวิเคราะห์กฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การค้นหากฎหมายที่ซ้ำซ้อน ล้าสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบของกฎหมายเหล่านี้ต่อภาคธุรกิจและประชาชน
2. การเสนอแนะนโยบาย: TDRI ได้นำเสนอข้อเสนอแนะในการปฏิรูปกฎหมายแก่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กระบวนการกิโยตินกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นที่การลดความซับซ้อนของกฎหมาย การปรับปรุงให้ทันสมัย และการเพิ่มความโปร่งใสในการบังคับใช้กฎหมาย
3. การสร้างความตระหนักรู้: TDRI มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลและสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมเกี่ยวกับความจำเป็นในการปฏิรูปกฎหมาย ผ่านการจัดสัมมนา การเผยแพร่บทความ และการมีส่วนร่วมในการอภิปรายสาธารณะ
4. การสนับสนุนกระบวนการปฏิรูป: นอกจากการวิจัยและเสนอแนะแล้ว TDRI ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐและองค์กรเอกชนในการดำเนินการตามแนวทางกิโยตินกฎหมาย โดยมีการให้คำปรึกษาและสนับสนุนด้านเทคนิคในการทบทวนและแก้ไขกฎหมาย
การทำงานของ TDRI ในด้านนี้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้กระบวนการกิโยตินกฎหมายในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่การสร้างระบบกฎหมายที่เป็นมิตรกับประชาชนและธุรกิจมากขึ้น.
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.