ธปท.พร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ย เพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ "Thailand's Monetary Policy Challenge: How to Manage the Risks in a Changing Globalnvironment" กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Thailand Focus 204 ภายใต้หัวข้อ ความท้าทายนโยบายการเงิน : บริหารความเสี่ยง จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า การทำนโยบายการเงินของ ธปท. เน้นนโยบายผสมสาน นโยบายดอกเบี้ยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการหลายอย่าง และพร้อมปรับหากสถานการณ์เปลี่ยน ไม่ได้ยึดติดจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ธปท.ให้ความสำคัญกับมาตรการรองรับความเสี่ยง เพราะสถานการณ์ในโลกไม่แน่นอนคาดการณ์ไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายเผื่อไว้หลายๆ ทาง นอกจากนโยบายดอกเบี้ยก็ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น การให้ความรู้อย่างรับผิดของสถาบันการเงินเพื่อ ส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตังต่อเนื่อง แต่สาขาต่างๆ ฟื้นตัวไม่เท่ากัน โดยเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา โตติดลบ จีดีพีลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลของงบประมาณรัฐบาลล่าช้า ส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ของปีนี้เติบโต 1.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และจีดีพีไตรมาส 2 โต 0.8% จากไตรมาสแรก

การฟื้นตัวจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี และ ธปท.คาดว่า จีดีพีทั้งปีจะเติบโต 2.6% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของหน่วยงานรัฐบาลอื่น และนักวิเคราะห์ ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8% ในเดือน ก.ค. ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% แต่เงินเฟ้อจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี

แม้เงินเฟ้อจะต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด ราคาสินค้าเพียงบางรายการที่มีราคาลดลง แต่ยังไม่ลดลงในวงกว้าง ผู้บริโภคไม่ได้หยุดใช้จ่ายเพื่อรอให้ราคาสินค้าลดลงไปอีก ในการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เงินมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ต่อปี ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ในการดำเนินนโยบายการเงิน ธปท. ให้ความสำคัญกับแนวโน้มข้างหน้ามากกว่าที่จะอิงกับข้อมูลตลาด โดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องดังต่อไปนี้

เรื่องแรก การเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโต 2.6% ในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า ระดับการเติบโตถือว่าไม่สูง แต่สอดคล้องกับศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของไทยที่ระดับ 3% บวกลบการเติบโตได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านประชากร โดยประชากรกำลังแรงงานลดลง การที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโดสูงกว่าระดับนี้ มีทางเดียวคือการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน การลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยี การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผลระยะสั้นเท่านั้น ศักยภาพการเดิบโดระดับนี้ถือเป็นภาวะปกติใหม่ของไทย (New Normal)

เรื่องที่ 2 เงินเพื่อไทยลดลง และกำลังกลับเข้าสู่เงินเฟ้อเป้าหมาย เศรษฐกิจไม่ได้ใหลลงสู่ภาวะเงินฝืด เงินเฟ้อไทยต่างจากประเทศอื่น เงินเฟ้อภาคบริการของไทยไม่สูง ค่าเช่าทรงตัว และดึงเงินเฟ้อลง

เรื่องที่ 3 คือ เสถียรภาพการเงิน ซึ่งเป็นถือว่าเป็นปัญหาท้าทายมาก จากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของจีดีพี ปัญหาน่ากังวลเพราะหนี้เงินกู้บ้านของไทยมีประมาณเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นเทียบกับหนี้ครัวเรือนของประเทศพัฒนาแล้ว ที่หนี้จำนองบ้านถือเป็นส่วนใหญ่ของหนี้ครัวเรือนยอมรับว่าแก้ไขยากและต้องใช้เวลา ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงมาที่ระดับ 80% ต่อจีดีพี

จากที่ภาคเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่เท่ากัน ภาคท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องฟื้นตัวดี แต่ภาคการผลิตอ่อนแอ การฟื้นตัวของรายได้ของประชาชนก็ไม่เท่ากัน ผู้ประกอบอาชีพส่วนตัว เช่น  แม่ค้า คนขับแท็กซี่ ยังได้รับผลกระทบ รายได้ยังไม่ฟื้นตัวดี หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก ช่วงโควิดระบาด

แม้เศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่าฟื้นตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ ธปท. คาดสินเชื่อด้อยคุณภาพจะเพิ่มขึ้นไป แต่ไม่ถึงขึ้นรุนแรง และคุณภาพสินเชื่อจะด้อยลงต่อไป

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.