เสิร์ฟ 9 หุ้น DEEP VALUE ร่วงแรง - กำไรโตต่อ
ในวิกฤติมีโอกาส..ในโอกาส(อาจ)มีวิกฤติ
เมื่อไรที่หุ้นไทยย่อแรงไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตามที่เราไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งเดียวที่นักลงทุนต้องทำ นั่นก็คือ "ตั้งสติ" และทำตามแผนที่วางไว้ แต่หากไม่มีแผนอะไร วันนี้ผู้สื่อข่าว "โพสต์ทูเดย์" จะพาไปรู้จักกับ "หุ้น DEEP VALUE" ซึ่งก็คือ หุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกมากในเชิงพื้นฐาน
เบื้องต้นหุ้นที่จะเข้าข่ายหุ้นประเภทนี้ดูได้จาก 4 เหตุปัจจัยคือ 1. ราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ประเมิน ราคามี Upside เกินกว่า 20% ขึ้นไป พูดง่ายๆคือราคาร่วงแรงมากว่าราคาที่โบรกประเมินไว้ ยิ่งลงแรง ยิ่งราคาถูก
แต่ถ้าราคาลงแรงเกินเหตุไปมาก อาจมีอะไรผิดปกติ เราต้องพิจารณา ข้อ 2. นั่นก็คือ "ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง" ใช่หรือไม่ และ 3. นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำซื้อ
ซึ่งข้อมูลต่างๆนักลงทุนสามารถดูข้อมูลได้จาก www.settrade.com หลังจากเซิร์จ "ชื่อหุ้น" เสร็จ จากนั้นคลิกตรงคำว่า "ความคิดเห็นนักวิเคราะห์" จะมีบทวิเคราะห์ของแต่ละโบรก สามารถพิจารณาประกอบการตัดสินใจได้
9 หุ้น DEEP VALUE
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ในช่วงหลังสงกรานต์ ประเด็นสงครามตะวันออกกลางกดดันให้ SET INDEX ลงมาลึกถึง 64 จุด หรือราว -4.5% มาอยู่ที่ 1332 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SETINDEX มีโอกาสรีบาวน์กลับได้บ้าง ด้วยปัจจัยต่างๆ และเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด ดังนี้
1. ทางตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผยมีเพียงบริษัทเดียวที่มีบริษัทย่อยในอิสราเอล รายได้ในปี 2565 เท่ากับ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งประมาณ 0.26% ของรายได้จากต่างประเทศเท่านั้น
2. ทางตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผยข้อมูลนักลงทุน “อิสราเอล-อิหร่าน” ถือครองหุ้นไทย ณ เดือน ส.ค. 66 รวมกันแค่ 141 ล้านบาทเท่านั้น (อิสราเอล 117 ล้านบาท และอิหร่าน 24 ล้านบาท)
3. เช้านี้ดัชนี DOW JONES FUTURES พลิกฟื้นขึ้นมาเกือบ 900 จุด จากจุดต่ำสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยฯ เริ่มเห็นหุ้นใน SET INDEX หลายๆ บริษัทลงลึกเกินไปเมื่อเทียบกับพื้นฐาน ทั้ง P/E เหลือ 14.5 เท่า (ต่ำกว่า -1SD ในรอบ 10 ปี) และ SET INDEX ปัจจุบัน 1332 จุด สูงกว่าจุดต่ำสุดวันที่ 13 มี.ค.63 (วันที่เกิด 2 CIRCUIT BREAKER) ที่ 969 จุด อยู่ 37.5% อย่างไรก็ตามกลับมีหุ้นหลายๆ บริษัทกำไรยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีในปีนี้ แต่ราคากลับลงไปบริเวณจุดต่ำสุด ณ วันที่ 13 มี.ค. 63 แล้ว
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯทำการค้นหา “หุ้น DEEP VALUE ลงลึกเทียบกับวันที่ SET ทำจุดต่ำสุดที่ 969 ในปี 2563 แต่แนวโน้มกำไรปี2567 ยังดี” ได้ผลลัพธ์ดังตารางทางด้านล่าง
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำทยอยสะสมหุ้น EGCO แนะนำ Underweight ราคาเป้าหมาย 150 บาท , BGRIM แนะนำ Overweight ราคาเป้าหมาย 34 บาท , CPF แนะนำ Overweight ราคาเป้าหมาย 23 บาท , BJC แนะนำ 35 ราคาเป้าหมาย Overweight บาท , CPALL แนะนำ Overweight ราคาเป้าหมาย 81 บาท ,
SCC แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 330 บาท , STEC แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท , TASCO แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 22 บาท , IRPC แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 2.40 บาท ในช่วงที่ SET INDEX ลงมาลึกกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น
ราคาหุ้น EGCO ปิดการซื้อขายเช้าวันนี้ (22 เม.ย. 2567) อยู่ที่ 110 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท คิดเป็น +0.46% มูลค่าการซื้อขาย 51.19 ล้านบาท
ราคาหุ้น BGRIM อยู่ที่ 25.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.65 บาท คิดเป็น +2.64% มูลค่าการซื้อขาย 134.46 ล้านบาท
ราคาหุ้น CPF อยู่ที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท คิดเป็น +2.84% มูลค่าการซื้อขาย 181.74 ล้านบาท
ราคาหุ้น BJC อยู่ที่ 24.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท คิดเป็น +2.90% มูลค่าการซื้อขาย 244.31 ล้านบาท
ราคาหุ้น CPALL อยู่ที่ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท คิดเป็น +0.91% มูลค่าการซื้อขาย 717.18 ล้านบาท
ราคาหุ้น SCC อยู่ที่ 244 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท คิดเป็น +0.83% มูลค่าการซื้อขาย 161.70 ล้านบาท
ราคาหุ้น STEC อยู่ที่ 9.90 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 11.18 ล้านบาท
ราคาหุ้น TASCO อยู่ที่ 15.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท คิดเป็น +0.64% มูลค่าการซื้อขาย 20.53 ล้านบาท
ราคาหุ้น IRPC อยู่ที่ 1.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท คิดเป็น +1.04% มูลค่าการซื้อขาย 33.22 ล้านบาท
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.