ดร.สมชาย ชี้ รัฐบาลเร่งคลอดงบฯปี 67 เร็วขึ้น หนุนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า กรณีรัฐบาลปรับวันพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ให้เร็วขึ้น โดยคาดว่า ประกาศใช้ได้ทันก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้น มองว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้งบประมาณลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น เพราะเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยในปี 2566 ขยายตัวแย่ คือ ทั้งปีขยายตัวได้เพียง 1.9% จากที่หลายฝ่ายประมาณการณ์ว่าน่าจะขยายตัวได้มากกว่า 2% ต่อปี ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายขยายตัวได้เพียง 1.7% จะเห็นจีดีพีขยายตัวลดต่ำลงมาเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของการใช้จ่าย และการลงทุนของภาครัฐ ขยายตัวติดลบทั้ง 2 กรณี สวนทางกับการคาดการณ์ของสภาพัฒน์ฯ ที่คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวเป็นบวก 

 

นอกจากนี้ การพิจารณางบประมาณเร็วขึ้น รัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้น จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นภาคเอกชนเพิ่มขึ้นไปอีก จากเดิมที่ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นอยู่แล้ว สังเกตได้จากในปีที่ผ่านมาการลงทุนภาคเอกชนเป็นบวก และการลงทุนโดยตรงต่างประเทศสูงสุดในรอบ 10 ปี และการยอดขอการส่งเสริมบีโอไอ ก็อยู่ในระดับสูง ดังนั้นดูจากการใช้จ่าย และการลงทุนภาคเอกชน ถือว่าความเชื่อมั่นเอกชนไม่เลว โดยเฉพาะการใช้จ่าย ทั้งปีอยู่ที่ 7% อยู่ในลักษณะฟื้นตัว 

 

“กรณีที่งบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น 3.48 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2566 ร้อยละ 9.3 ก็หมายความรัฐบาลสามารถใช้จ่ายงบฯประจำ และงบลงทุนได้เพิ่มขึ้น หากเร่งรัดเงินเข้าสู่ระบบเร็วขึ้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นด้วย แม้เร็วขึ้นเพียง 2 สัปดาห์ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี” รศ.ดร.สมชาย กล่าว

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรัฐวิสาหกิจ ถ้าเร่งตัวนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกระดับหนึ่ง เพราะส่วนนี้มีเม็ดเงินจำนวนมาก ร่วมทั้งต้องมีแนวปฎิบัติในการเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ เพื่อให้หน่วยงานสามารถเบิกจ่ายงบฯได้ทันภายในปีงบประมาณ หรือเบิกจ่ายได้ทันที เมื่อมีประกาศบังคับใช้

 

นอกจากนี้ ภาครัฐสามารถต้องใช้งบฯที่มีอยู่โดยไม่ต้องผ่านงบประมาณ ดำเนินนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย การท่องเที่ยว และส่งออก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จากปีก่อนที่ส่งออกที่ติดลบ และการท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามเป้า โดยปีนี้มองว่า การส่งออกน่าจะเป็นบวก ซึ่งรัฐบาลต้องทำการบ้านอย่างหนัก เช่น หาช่องทางขยายตลาดไปประเทศคู่ค้าเดิม อาทิ จีน และสหรัฐให้มากขึ้น หลังจากปีนี้มีเศรษฐกิจทั้งสองประเทศแนวโน้มดีขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มตะวันออกกลาง พร้อมกันนี้ขยายตลาดไปยังประเทศที่ไม่คุ้นเคย เช่น แอฟฟริกา ลาตินอเมริกา เอเชียตะวันตก และคาซัคสถาน เป็นต้น จะเป็นตัวช่วยผลักดดันการส่งอองไทยให้ขยายตัวเป็นบวกมากขึ้น รวมทั้งต้องเร่งออกมาตรการดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน เช่น บีโอไอเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในเชิงรุก เร่งอนุมัติการขอรับการส่งเสิรมการลงทุนให้มากขึ้น 

 

ส่วนงบประมาณขยับเร็วขึ้น จะมีผลต่อการเดินหน้าโครงการเติมเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของรัฐบาลหรือไม่ มองว่าน่าไม่เกียวข้องกันมากนัก เพราะรัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัล เนื่องจากมองว่า โครงการดังกล่าวมีความจำเป็นต่อเศรษฐกิจในขณะนี้ อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่า สุดท้ายแล้วโครงการเงินดิจิทัลจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็มีผลเป็นเพียงตัวเสริมทางเศรษฐกิจเท่านั้น

 

สำหรับ กระแสการปรับครม. นั้น เป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจ เพราะมองว่า หลังจากที่รัฐบาลทำงานมาหลายเดือนแล้ว ก็ต้อมมีประเมินว่ากระทรวงใดทำงานได้ดี หรือไม่ดี เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เกิดความเหมาะสม โดยเชื่อว่าไม่ได้ปรับครม.เพราะเหตุผลความขัดแย้งทางการเมือง 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.