7 วิธี ลดอาการ "ปวดหัวไมเกรน" อย่างได้ผล

ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างใช้ชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยปัจจัยที่ก่อให้เกิดความกังวลและความเครียดต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ อาชีพการงาน โรคติดเชื้อโควิด-19 และอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนนำมาซึ่งปัญหาด้านสุขภาพ และโรคที่พบบ่อยมากที่สุดอย่างหนึ่งคือ โรคปวดศีรษะเรื้อรัง หรือที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่า โรคไมเกรน ที่มักจะพบในกลุ่มวัยทำงานเป็นส่วนมาก 

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ประสบภาวะอาการปวดหัวไมเกรน นอกจากจะรบกวนและลดประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย หากคำนวณเป็นตัวเลขจะพบว่าโรคไมเกรนนี้สามารถคิดเป็นหนึ่งในสามของภาวะการเจ็บป่วยยอดฮิตที่พบมากที่สุดในโลก หรือพูดง่ายๆ คือในคนเจ็ดคนจะพบว่ามีผู้ป่วยโรคไมเกรนอย่างน้อยหนึ่งคนเลยทีเดียว

ทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคไมเกรนที่สาเหตุของการเกิดโรค

ไมเกรน เป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่สามารถเกิดและพบบ่อยสุดในช่วงอายุระหว่าง 15-30 ปี หรือบางรายสามารถตรวจพบได้เมื่ออายุเพียง 7-8 ปีเท่านั้น แต่อายุโดยเฉลี่ยที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานในช่วงต้นๆ และพบน้อยในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยในเพศหญิงมากกว่าเพศชายอีกด้วย

นายแพทย์เขษม์ชัย เสือวรรณศรี อายุรแพทย์ด้านโรคระบบประสาท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ไมเกรน เป็นโรคที่พบมานานเป็นร้อยปีแล้ว จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดโรคไมเกรนได้อย่างชัดเจนนัก แต่โดยการตรวจวินิจฉัยส่วนมากจะพบว่าผู้ที่มาหาหมอจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่อง หรือมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจมารับการวินิจฉัยโรค ซึ่งปกติตามขั้นตอนจะมีการตรวจซักประวัติถามถึงข้อมูลต่างๆ ทั้งประวัติการเจ็บป่วย ประวัติครอบครัว รูปแบบการใช้ชีวิต เป็นต้น ซึ่งหากทำการวินิจฉัยแล้วพบว่าผู้ป่วยเป็นไมเกรน ทางการแพทย์ก็จะให้การรักษาด้วยยาตามอาการนั้นๆ ซึ่งโดยรวมแล้วสามารถจำแนกตามลักษณะการเกิดอาการได้เป็นสองประเภทหลักๆ คือ อาการปวดไมเกรนแบบนานๆ ครั้ง (Episodic Migraine) และการปวดไมเกรนแบบเรื้อรัง (Chronic Migraine)

การรักษาเมื่อรู้ว่าเป็น “ไมเกรน”

ตั้งแต่โลกรู้จักกับ “โรคไมเกรน” วงการแพทย์เองก็ได้ทำการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าไม่มียาใดที่รักษาไมเกรนให้หายขาดได้  ซึ่งยาที่ใช้รักษาไมเกรนโดยทั่วไปจะใช้เพื่อการควบคุมอาการเมื่ออาการกำเริบเท่านั้น โดยแบ่งยารักษาออกเป็นสองประเภท คือ

  1. ยารักษาแบบเฉียบพลัน (Acute Treatment) สำหรับรับประทานทันทีที่มีอาการปวด ซึ่งยาจะได้ผลดีเมื่อรับประทานได้เร็วทันท่วงที เพราะหลังจากนี้ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนซึ่งจะมีผลให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลง

  2. ยารักษาแบบป้องกัน (Preventive or Prophylactic Treatment) ซึ่งเป็นยารับประทานแบบป้องกันที่ต้องได้รับอย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อลดความรุนแรงหรือความถี่ของการเกิดอาการไมเกรน  ซึ่งยาประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดอาการขึ้นก่อน  ยาในกลุ่มป้องกันนี้แพทย์มักจะแนะนำสำหรับกลุ่มผู้ป่วยไมเกรนที่มีอาการค่อนข้างบ่อย หรือกรณีที่ปวดนาน ๆ ครั้งแต่เมื่ออาการกำเริบแล้วรุนแรงจนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติได้

ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์  ทำให้ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นพัฒนานวัตกรรม “ยาป้องกันไมเกรน” ที่เป็นยากลุ่มชีวโมเลกุลแบบฉีด โดยจะฉีดให้ผู้ป่วยเดือนละครั้ง  ทั้งยังสามารถฉีดได้ทั้งกับผู้ป่วยที่มีอาการแบบเรื้อรัง (Chronic Migraine) และแบบนาน ๆ ครั้ง (Episodic Migraine) ทั้งนี้ แพทย์ผู้ทำการรักษาจะพิจารณาการใช้ยาให้เหมาะสมกับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย

การรักษาโดยส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาและให้ยาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยไมเกรนนี้จะใช้เวลารักษาต่อเนื่องตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป แล้วแต่การวินิจฉัยในแต่ละราย

ในรายที่ได้รับยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ พบว่าอาการปวดศีรษะดีขึ้นและความถี่ในการเกิดอาการน้อยลง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายให้ต้องกังวล อย่างไรก็ตาม การยอมรับการรักษาจึงอยู่ที่การตัดสินใจของผู้ป่วย แพทย์จะแนะนำทางเลือกที่เหมาะสมในการรักษา พร้อมวิธีการดูแลตัวเองและให้กำลังใจผู้ป่วย รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ได้แก่ สภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด ฯลฯ

7 วิธี ลดอาการ "ปวดหัวไมเกรน" อย่างได้ผล

แนะนำให้ผู้ป่วยไมเกรนดูแลตัวเอง และปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม คือ

  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  
  3. พักผ่อนให้เพียงพอ
  4. เลือกทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายสมองบ่อยๆ อย่าให้เครียดมากเกินไป
  5. ควรหลีกเลี่ยงแดดจัด หรืออาหารที่ไปกระตุ้นอาการ
  6. ดื่มน้ำมากๆ เพราะภาวะร่างกายขาดน้ำ (Dehydrate) ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นได้เช่นกัน
  7. ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทุกอย่างที่อาจเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจส่งผลให้ไมเกรนกำเริบบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้น

โรคไมเกรน แม้จะยังเป็นกลุ่มภาวะการเจ็บป่วยทางร่างกายที่ติดอันดับต้นๆ และในปัจจุบันมีการค้นพบสารที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้แล้ว และด้วยวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในแง่ของประสิทธิภาพ พร้อมกับลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา ผู้ป่วยไมเกรนสามารถขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมได้ที่โรงพยาบาลและศูนย์บริการทางการแพทย์

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.