ปัญหาดื้อโบใหญ่โตระดับโลก ผลสำรวจเอเชีย-แปซิฟิกเผย ผู้บริโภคยังขาดความรู้เรื่องภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน
- ร้อยละ 81 ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่าประสิทธิผลในการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซิน ลดลง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ขั้นต้นถึงภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน
- ร้อยละ 54 ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจชี้ว่าความบริสุทธ์ของโบทูลินัมท็อกซินที่ใช้มีผลต่อประสิทธิผลในการรักษา
- ร้อยละ 66 ของผู้บริโภค พบปัญหาภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินเพิ่มขึ้น จากการรักษาที่ไม่ถูกวิธี เช่น การเพิ่มปริมาณสาร การรักษาอย่างถี่ขึ้น หรือเข้ารับการรักษาที่ไม่เกิดประสิทธิผลต่อเนื่อง
เมิร์ซ เอสเธติกส์ บริษัทชั้นนำระดับโลก ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์สำหรับใช้ในคลินิกเสริมความงาม เผยผลการสำรวจระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เรื่องภาวะการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน 2 ชิ้น ซึ่งบริษัทเมิร์ซ เอสเธติกส์ สนับสนุนให้จัดทำผลการสำรวจดังกล่าวครอบคลุมผู้บริโภคและบุคลากรทางการแพทย์ และได้ถูกนำเสนอในเวทีเสวนาระดับนานาชาติของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม Aesthetic Council for Ethical use of Neurotoxin Delivery (ASCEND) โดยการเสวนาในเวทีนี้มีการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับแนวปฏิบัติบัติที่ดี และข้อควรคำนึงด้านจริยธรรมในการใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน เอ (BoNT-A) ซึ่งใช้ทั้งในด้านความงามและการรักษาทางการแพทย์ โดยสัปดาห์นี้ ได้มีการจัดการประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมระดับโลกด้านแพทย์ผิวหนังและความงาม DASIL (Dermatology, Aesthetics, and Surgery International League) World Congress ครั้งที่ 12 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และถือเป็นการประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2565
การสำรวจล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลสำคัญเชิงลึกและข้อท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วย BoNT-A จากอัตราความชุก (prevalence) ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่าประสิทธิผลในการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซินลดลง และยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 812 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79 ในปี 2564 และร้อยละ 69 ในปี 2561 โดยผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า พวกเขารู้สึกวิตกกังวล เศร้า และกังวลใจอันเป็นผลมาจากประสิทธิผลของการรักษาที่ลดลง
ผลการค้นพบสำคัญ:
- ผู้บริโภคจำนวนมากที่ทำการสำรวจ เผชิญกับผลการรักษาที่ลดลงและตระหนักถึงปัจจัยที่อาจมีส่วนทำให้เกิดผลดังกล่าว
- ร้อยละ 52 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจชี้ว่าเกิดจากภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน2
- ร้อยละ 54 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจระบุว่าเป็นผลจากผลิตภัณฑ์โบทูลินัมท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอม (impurities)*2
- ร้อยละ 45 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจอ้างถึงปริมาณสารที่ใช้ระหว่างการรักษา2
- แม้จะตระหนักถึงปัญหานี้ แต่ร้อยละ 66 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจมีพฤติกรรมที่อาจทำให้ภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินรุนแรงขึ้น เช่น การเพิ่มปริมาณสารในการรักษาหรือการรับการรักษาถี่ขึ้น*2
ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากที่เข้าร่วมการสำรวจอาจติดรูปแบบพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น แต่อาจส่งผลให้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องแย่ลงไปด้วย ในกรณีที่ประสิทธิผลของการรักษาลดลงเนื่องมาจากการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน โดยการลดลงของประสิทธิผลในการรักษาด้วย BoNT-A เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่อาจบ่งชี้ถึงอุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินเท่านั้น
ดร. นีม คอร์ดัฟ แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง FRACS และผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ RiverEnd Aesthetics รวมถึงผู้ดำเนินรายการในการอภิปรายของ ASCEND กล่าวว่า “ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนไข้ที่เข้าร่วมการสำรวจส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าการรักษาด้วย BoNT-A สามารถนำไปสู่ภาวะดื้อต่อ BoNT-A ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง หนึ่งในวิธีการป้องกันคือการเลือกใช้ BoNT-A ที่มีความบริสุทธิ์สูง เนื่องจากมีตัวเลือก BoNT-A หลากหลายในตลาด จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเสริมความงามที่จะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าอะไรคือสูตร BoNT-A ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง+bและเน้นย้ำถึงความสำคัญของความบริสุทธิ์ของท็อกซินเพื่อลดความเสี่ยงในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คนไข้และบุคลากรทางการแพทย์สามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยและประสิทธิผลของการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซิน ทั้งในด้านความงามและการแพทย์ในระยะยาว”
ในระหว่างการอภิปราย คณะผู้เชี่ยวชาญ ASCEND ได้นำเสนอบทความฉันทามติเรื่อง "นัยยะในโลกแห่งความเป็นจริงของภาวะการดื้อต่อ BoNT-A สำหรับผู้บริโภคและผู้ให้บริการด้านความงาม: ข้อมูลเชิงลึกจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชั้นนำระดับนานาชาติ ASCEND" โดยมีดร. คอร์ดัฟ เป็นผู้เขียนหลัก ซึ่งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินและบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลในการเลือกใช้สูตรโบทูลินัมท็อกซินที่บริสุทธิ์5 สิ่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงผลการสำรวจที่แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 84 ของบุคลากรทางการแพทย์ยอมรับว่าสูตร โบทูลินัมท็อกซินของแบรนด์ต่างๆ มีความแตกต่างกันและมีความบริสุทธิ์ต่างกัน และมากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยว่าการได้รับการรักษาด้วยสารท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอม* เป็นประจำ อาจส่งผลให้ร่างกายของคนไข้พัฒนาแอนติบอดีมายับยั้งการออกฤทธิ์ของ BoNT-A ได้*6
บทความฉันทามติฉบับนี้ยังสนับสนุนการนำแนวทางการคัดกรองมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อตรวจหากรณีที่ประสิทธิผลการรักษาของโบทูลินัมท็อกซินลดลงเนื่องมาจากมีการสร้างแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ และสร้างหลักการทำงานที่เป็นมาตรฐาน5 จากการสำรวจบุคลากรทางการแพทย์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้โบทูลินัมท็อกซินอย่างปลอดภัยสำหรับคนไข้นั้นมีความสำคัญ6 ปัจจุบันนี้ บุคลากรทางการแพทย์มีวิธีการรับมือต่อประสิทธิผลการรักษาที่ลดลง รวมถึงการทำการทดสอบวินิจฉัย (ร้อยละ 47) การเปลี่ยนแบรนด์ (ร้อยละ 33) การทำการทดสอบคัดกรอง (ร้อยละ 27) หรือการแนะนำให้ยุติการรักษาทั้งหมด (ร้อยละ 24)6 บทความฉันทามตินี้ยังระบุว่าบุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารอย่างทันท่วงทีเกี่ยวกับความเสี่ยงในการรักษาและการกำหนดความคาดหวังของคนไข้หลังจากมีการพูดคุยหารือกันในขั้นต้น นอกจากนี้ ยังแนะนำว่าบุคลากรทางการแพทย์ควรจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างขั้นตอนการขอความยินยอมในการรักษา และควรบันทึกไว้ในเวชระเบียนอย่างชัดเจน*5
ในระหว่างการอภิปราย ดร.เซียว ตั๊ก หวา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ Radium Aesthetics ได้แบ่งปันกรณีศึกษาคนไข้จากสิงคโปร์ โดยกล่าวว่า “ผมใช้เวลา 3 ปี กว่าคนไข้จะเริ่มตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซินอีกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการแก้ไขเรื่องแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ได้ ในบางกรณีอาจใช้เวลาหลายปี และในบางกรณีก็อาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ การป้องกันจึงมักจะดีกว่าการรักษา ตัวเลือกที่รอบคอบที่สุดคือการเริ่มต้นรับการรักษาด้วยสูตรโบทูลินัมท็อกซินที่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก หรือเปลี่ยนมาใช้สูตรนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน”
การเลือกแบรนด์ BoNT-A ที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นการรักษานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสูตรโบทูลินัมท็อกซิน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา รวมถึงความเสี่ยงที่จะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน และประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ BoNT-A ที่บริสุทธิ์+ โดยสามารถอ่านบทความฉันทามติฉบับเต็มได้ที่ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11188869/
อ้างอิง:
- Park JY, Sunga O, Wanitphakdeedecha R, Frevert J. Neurotoxin Impurities: A Review of Threats to Efficacy. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2020;8(1): e2627.
- Based on a consumer market study conducted in 2024 on "Consumer Experience with Declining Treatment Effects" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 9 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Malaysia, Philippines, Singapore, South Korea, Taiwan and Thailand) and included 2,588 Botulinum toxin users from the ages of 21 to 55 years old.
- Based on a consumer market study conducted in 2021 on "Consumer Experience with Declining Treatment Effects" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 8 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Singapore, South Korea, Philippines, Taiwan and Thailand) and included 2,441 Botulinum toxin users from the ages of 21 to 55 years old.
- Based on a consumer market study conducted in 2018 on "Consumer Experience with Declining Treatment Effects" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 8 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Singapore, South Korea, Philippines, Taiwan and Thailand) and included 2,441 Botulinum toxin users from the ages of 21 to 55 years old
- Corduff N, Park JY, Calderon PE, Choi H, Dingley M, Ho WWS, Martin MU, Suseno LS, Tseng FW, Vachiramon V, Wanitphakdeedecha R, Yu JNT. Real-world Implications of Botulinum Neurotoxin A Immunoresistance for Consumers and Aesthetic Practitioners: Insights from ASCEND Multidisciplinary Panel. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2024;12(6):e5892.
- Based on an aesthetics healthcare professionals market study conducted in 2024 on "HCPs Experience with Declining Treatment Effects Among Botulinum Toxin Users" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 8 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Philippines, Singapore, South Korea, Taiwan and Thailand) and included 242 aesthetic healthcare practitioners.
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.