ดราม่า EV ลดราคา 3 แสนบาท งานนี้ใครผิด?
ดราม่าแล้วดราม่าอีก สำหรับประเด็นค่ายรถ EV ประกาศลดราคาลงจากเดิมกว่า 3 แสนบาท ทำเอาลูกค้าเก่าที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ไม่พอใจ งานนี้จะโทษใครดี และหากเป็นคุณที่เจอเหตุการณ์แบบนี้จะทำอย่างไร?
ก่อนออกความเห็นใด ๆ ผมขออนุญาตวางตัวเป็นกลางที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ในเคสนี้นะครับ (เพราะกลัวมีดราม่าขึ้นอีก ฮ่า ๆ) แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นและไม่ค่อยจะชอบใจสักเท่าไร คือ เมื่อเห็นข่าวนี้ไม่ว่าจะอยู่ในเพจไหน จะต้องมีคนกด “หัวเราะ” และมีคอมเมนต์เหน็บแนมผู้ที่ซื้อรถไปก่อนหน้านี้
ผมค่อนข้างเชื่อนะครับว่าความเห็นในโลกโซเชียลส่วนใหญ่ เป็นคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขาย แต่หากลองนึกว่าหากคุณที่เก็บเงินมาทั้งชีวิต แล้วต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร ผมเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ออกมาร้องเรียน เพราะเป็นใครก็ย่อมหัวเสียแน่นอน
ถ้ามองในมุมผู้บริโภค มีสิทธิ์คิดได้ว่าภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ทำไมถึงสามารถทำการตลาดลดราคาได้ขนาดนี้ ผู้ที่ซื้อก็มีสิทธิ์คิดได้เช่นกันว่าถูกเอาเปรียบให้ซื้อสินค้าที่ราคาสูงกว่าปกติ แต่ในมุมค่ายรถเขาก็มีเหตุผล โดยเฉพาะการเปิดโรงงานในไทย และราคาแบตเตอรี่ลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ลดราคาก็คงโดนด่าเหมือนกัน
จากที่เคยรู้ข้อมูลมาบ้าง ด้วยมาตรการลดภาษี EV ของบ้านเรา ทำให้ค่ายรถต้องพยายามทำตัวเลขยอดขายให้ได้มากที่สุด บวกกับยอดขายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากที่เป็นกราฟขาขึ้นสุด ๆ เมื่อปีที่แล้ว มาวันนี้ยอดขายเริ่มตก จึงไม่แปลกที่แบรนด์รถไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จะทำการตลาดด้วยวิธีนี้
ซึ่งบางทีอาจจะทำให้กลุ่มลูกค้าใหม่ไม่รีบตัดสินใจซื้อ เพราะรอดูว่าราคาจะลดลงอีกไหม ฉะนั้น หากจะมองเรื่องใครผิด-ใครถูก คงคุยกันไม่จบแน่นอน เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไปนะครับว่า เหตุผลที่ EV ยอดพุ่งในช่วงก่อนหน้านี้ คือ ราคาที่ถูกกว่า และการใช้งานที่ถูกกว่าเติมน้ำมัน 4-5 เท่า ไม่ได้เกี่ยวกับการรักษ์โลกแต่อย่างใด
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องของบริษัทประกันที่ประกาศปรับเงื่อนไขการทำประกันรถ EV อีกนะครับ เพราะที่ผ่านมาก็มีข่าวเยอะกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้งาน และยิ่งมาเจอราคาที่ลดฮวบแบบนี้อีกก็ทำให้ส่งผลกระทบกันไปหมด รวมไปถึงข่าวจากต่างประเทศที่รายงานว่ายอดขาย EV เริ่มลดลงเช่นกัน และคนสนใจไปที่ไฮบริดมากกว่า
“อ้าว! แล้วแบบนี้ EV ไม่น่าใช้แล้วหรือ?” ต้องบอกว่าคนที่ใช้ EV มาเป็นปี ๆ แล้วไม่มีปัญหาก็มีเยอะนะครับ ส่วนคนที่ใช้ EV แล้วเจอปัญหาและแชร์ออกไปในโลกออนไลน์ก็มี แต่เชื่อว่าหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ฝั่งที่ไม่มีปัญหาย่อมมีมากกว่า เพียงแต่ว่าพอเกิดเรื่องทีก็จะถูกพูดถึงมากกว่าเท่านั้นเอง
สุดท้ายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเองครับว่าจะเลือกอย่างไร ถ้าคำนวณแล้วใช้ EV คุ้มกว่า มั่นใจว่าควบคุมและวางแผนการชาร์จไฟได้ คำนวณค่าประกันในแต่ละปีได้ ก็จัดไปเลยครับ บางทีใช้ไปสัก 5 ปี อาจคุ้มทุนไปแล้วก็ได้ หรือใครจะไปทางรถไฮบริดที่ประหยัดรองลงมาหน่อย ก็อยู่ที่การตัดสินใจเลยครับ
ส่วนราคา EV ที่ลดลง มันคือเรื่องปกติเมื่อขั้นตอนการผลิตทำให้ต้นทุนลดลงได้ เพราะตั้งแต่รถ EV ทำตลาดในบ้านเรา ก็มีแต่ลดไม่มีเพิ่มนะครับ เพียงแต่ว่าก็น่าเห็นใจสำหรับผู้ที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ แอบคิดเหมือนกันว่าหากค่ายรถเอาใจใส่ลูกค้าเก่าหน่อย เพิ่มระยะเวลาประกันแบตเตอรี่ให้ก็คงจะดีนะครับ
เนื้อหาจากบทความต้นฉบับ >> ดราม่า EV งานนี้ใครผิด บน Tonkit360.com
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.