“ทรีนีตี้” มองปี 67 หุ้นไทยชนะหุ้นโลก ชี้เป้าดัชนี 1,560-1,650 จุด
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2567 อยู่ที่ 1,560-1,650 จุด รับปัจจัยบวกจากอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2567 ที่คาดจะเติบโต 3.6% เมื่อเปรียบเทียบกับ 3% ในปี 2566 ในขณะที่ประเทศอื่น เช่น จีน สหรัฐ Euro ต่างมีการเติบโตถดถอยในปี 2567 เมื่อเปรียบเทียบปี 2566
ทั้งนี้ GDP ของไทยในปี 2567 ที่คาดเติบโต 3.6% เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยมากขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่าง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ซึ่งมีผลต่อการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจจะทำให้ Bond Yields ในไทยสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น
ประกอบกับ Valuation ใน Forward P/Book Value ที่ถูกเป็นอันดับ 3 ในรอบ 15 ปี, ดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ก่อนจะปรับตัวลดลงในกลางปี 2567 มองดอกเบี้ย Fed Fund จะเริ่มจะลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในไตรมาส 3/2567 เมื่อ Fed หยุดการขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในทางบวก ในเอเชียรวมทั้งในไทย มองเงินเฟ้อปี 2567 เริ่มกลับสู่ระดับ 2% ใกล้เคียงกับระดับการเกิด COVID และเริ่มกลับสู่ระดับที่สบายใจของธนาคารกลางทั่วเอเชีย ซึ่งเป็นภาวะที่เปลี่ยนจากเงินเฟ้อสู่ระดับ Low - flation
นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่เติบโตกว่า 15% ในปี 2567 สู่ระดับ 113 บาทต่อหุ้น เมื่อเปรียบเทียบติดลบ 5.4% ในปี 2566 ดังนั้นในปี 2567 หุ้นไทยจะ outperform หุ้นโลก โดยกลุ่มที่แนะนำให้ Overweight คือ กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, กลุ่มโทรคมนาคม และกลุ่มเฮลธ์แคร์
ขณะเดียวกัน มองว่า ในปี 2567 นักลงทุนจะซื้อตราสารทุนสุทธิ แต่จะขายตราสารหนี้สุทธิ โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือพันธบัตรไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท หรือ 11.6% และน้ำหนักของพันธบัตรประเทศไทยใน JP Morgan Local Government Bond index (GBI-EM GD) อยู่ที่ 10%
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.2567 น้ำหนักของพันธบัตรประเทศอินเดียจะถูกรวมเข้าคำนวณในดัชนี อาจจะทำให้ Fund Flow ออกจากพันธบัตรไทย 1.7 แสนล้านบาท เพื่อถูกแทนที่โดยน้ำหนักการลงทุนของพันธบัตรประเทศอินเดีย
“ปีหน้านักลงทุนต่างชาติจะขายตลาดหุ้นไทยน้อยลง เนื่องจากปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 1.6-1.7 แสนล้านบาท หลังจากซื้อสุทธิกว่า 2 แสนล้านบาท ในปี 2565 โดยรวมในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่การใช้ QE ในปี 2553 เป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 8 แสนล้านบาท” ดร.วิศิษฐ์ กล่าว
ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐ มองว่าจะเข้าสู่ระดับพีคในไตรมาส 4/2566 เช่นเดียวกัน Fed Fund ของสหรัฐ จะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 4/2566 ส่วนราคาน้ำมันที่ระดับราคา US$ 100/Barrel จะนำไปสู่ Demand Destruction หรือภาวะน้ำมันแพงนำไปสู่การใช้น้ำมันที่ลดลง ส่วนค่าเงิน US$ อยู่ใน Zone ราคาแพงหรือมูลค่าเกินความเป็นจริง แต่จะยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆ
สำหรับทิศทางการลงทุนในช่วงไตรมาส 4/2566 มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนสูงมากในช่วงสั้น Fund Flow ยังคงไหลออกจากตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาค โดยมีสินทรัพย์เสี่ยงตอบสนองต่อข่าวทุกอย่างเป็นข่าวร้าย ซึ่งในเชิงของ Asset Allocation ในช่วงสั้น 1-2 เดือน แนะนำลงทุนให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเทอมฟันด์ และหาจังหวะลงทุนในหุ้นไทยที่มีปันผลสูง เนื่องจากราคาหุ้นได้ลดลงมากแล้วทำให้หุ้นที่มีปันผลสูงจะได้รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า เมื่อเหตุการณ์ตะวันออกกลางคลี่คลาย ในเชิงของหุ้นที่จะ outperform จะมีลักษณะ low Beta, เงินปันผลในอนาคตสูง (Forward Dividend) และค่า P/E ต่ำ
“โค้งสุดท้ายปีนี้ Fund Flow ผันผวน แต่ข่าวดี คือเชื่อว่า Fed จะคงดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.นี้ และปีนี้จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกเลย ดังนั้นเมื่อคงดอกเบี้ย ตลาดหุ้นจะตอบสนองในทางบวก แต่เจอสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ไปโฟกัสตรงนั้นมากกว่า” ดร.วิศิษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นผ่านการขึ้นดอกเบี้ยหลายๆ ครั้งของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก จะทำให้ Bond Yield ของสหรัฐ สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี สภาพคล่องภายในที่ลดลงอย่างมาก ความไม่มีเสถียรภาพของปัจจัยทางการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก ความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยกว่า 1.7 แสนล้านบาท เกือบ 84% ของเม็ดเงินที่ไหลเข้าในปี 2565 ขณะที่ซื้อพันธบัตรเบาบางเพียง 2 หมื่นล้านบาท
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.