กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เสริมตลาดทุนแสนล้าน ความหวังใหม่ฟื้นเศรษฐกิจไทย

มาตรการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน หวังให้ SET Index ปรับตัวขึ้น ของรัฐบาล คือการ คืนชีพ กองทุนรวมวายุภักษ์ สมัย ทักษิณ ชินวัตร บริหารประเทศตั้งแต่ปี 2546 ผ่านไป 10 ปี พบว่า ในปี 2556 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนฯ ไม่รวมมูลค่า Put/Call Options เท่ากับ 380,354 ล้านบาท ซึ่งในปีนั้นเองสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แปรสภาพกองทุนรวมวายุภักษ์ เป็นกองทุนเปิด จำนวนเงินลงทุน 500,000 ล้านบาท 

ช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมวายุภักษ์ กว่า 40,000 ล้านบาท โดยกองทุนฯ มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการกองทุน 

เมื่อรัฐบาลเพื่อไทย กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจย้ำแย่ หนี้ครัวเรือน- ดอกเบี้ยเงินกู้สูง แต่เงินฝากต่ำ และ SET Index อยู่ในช่วงขาลง ทำให้ในสมัยอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ฟื้นคืนชีพ กองทุนรวมวายุภักษ์ ขึ้นมาอีกครั้งด้วยเป้าหมายการระดมทุนเข้าตลาด 100,000-150,000 ล้านบาท และเตรียมเปิดขายในเดือน ก.ย.2567 ขณะที่นายกฯเปลี่ยนมือจากเศรษฐา ทวีสิน สู่ แพทองธาร ชินวัตร 

แม้ว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต มาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะไปต่อ หรือ พอแค่นี้ แต่การฟื้นคืนชีพกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ในเวลานี้ ก็เป็นจังหวะเหมาะในการเพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุน เพิ่มมูลค่าการลงทุนในตลาด และประชาชนมีทางเลือกในการออมด้วยดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากในปัจจุบัน

ซื้อขั้นต่ำ 5,000 บาท ลงทุน 10 ปี

สำหรับเงื่อนไขกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง ปี 2567 หน่วยลงทุนประเภท ก. กำหนดซื้อขั้นต่ำ 5,000 บาท มีระยะการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี จะเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเดือน ก.ย. 2567 

ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินปันผล ในแต่ละปีตามอัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของกองทุนฯ แต่ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นสูง ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูงดังกล่าวจะเป็นอัตราคงที่ตลอด 10 ปี

กองทุนฯ จะมีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยจะมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินลงทุน ตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนที่มีลักษณะเป็น water fall และมีการกำหนดสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ของกองทุนฯ ต่อเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. และมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หากสัดส่วนดังกล่าวลดลง

ขณะที่แนวทางการลงทุนของกองทุนฯ นั้น จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งแบบเชิงรุก (Active Investment) และแบบเชิงรับ (Passive Investment) โดยส่วนใหญ่จะลงทุนในตราสารทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เน้นการลงทุน   ในบริษัทที่มีผลตอบแทนที่ดี มีความมั่นคงในระยะยาว  ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี

เสริมตลาดทุน หยุดแรงเทขาย

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การผลักดันกองทุนรวมวายุภักษ์จะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นไทยได้ อีกทั้งตัวกองทุนเองก็มีความน่าสนใจกว่า กองทุน Thai ESG ในแง่ผลตอบแทนด้วย เพราะกองทุนรวมวายุภักษ์มีนโยบายเข้าลงทุนหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์

ดังนั้นเงินลงทุนที่เข้ามาย่อมส่งผลดีต่อหุ้นไทยในภาพรวมที่กำลังเป็นขาลง มีโอกาสเห็นการหยุดแรงขายได้ ซึ่งสถิติในอดีต เงินที่เข้ามาเพิ่มทุก 1 หมื่นล้านบาทสามารถช่วยพยุง SET Index ราว 18-20 จุด

สำหรับหุ้นรายตัวที่จะได้รับผลบวกได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) , ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) , บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) , ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) , บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) , บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH) , บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ประเมินผลดีของกองทุนนี้ต่อ SET Index อาจไม่เต็มที่เท่าในอดีตเพราะทางเลือกของนักลงทุนในประเทศปัจจุบันมีมากขึ้น เช่นการลงทุนในต่างประเทศ อีกทั้งผลตอบแทนของตัวกองทุนยังขึ้นอยู่กับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อาจให้ผลตอบแทนปันผลน้อยลง

ดังนั้น มาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในยุครัฐบาลเพื่อไทย เพิ่งจะเริ่มต้น รอความต่อเนื่องอีกหลายนโยบายมาประสานกัน จึงต้องจับตากันต่อภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร