TISCO แจ้งงบครึ่งแรกปี 67 กำไรสุทธิ 3,482 ล้าน ลดลง 4.5% เหตุตั้ง ECL เพิ่มขึ้น

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในช่วงไตรมาส 2/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,749 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากไตรมาส 2/2566 สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) ที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น 

ส่วนของรายได้รวมจากการดำเนินงานเติบโต 5.5% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรับรู้กำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ จากการเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 0.9% ตามสินเชื่อที่เติบโตจากไตรมาส 2/2566 

ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาด ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนฟื้นตัวเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงซบเซา เป็นไปตามมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่หดตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวลดลง จากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาด

ดังนั้นส่งผลให้ผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากครึ่งแรกปี 2566 เนื่องมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) ที่เพิ่มขึ้น ด้านรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 3.8% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ขยายตัว 3.1% ตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ประกอบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวดีขึ้น 5.5% จากกำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ 

ในขณะที่ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์อ่อนตัวลง จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ชะลอตัว อีกทั้งค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ปรับลดลงตามมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ซบเซา ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) สำหรับครึ่งปีแรกปี 2567 อยู่ที่ 16.6% 

นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกปี 2567 แม้จะมีแรงหนุนในภาคบริการจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ภาคการส่งออกที่เห็นสัญญาณฟื้นตัว และแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้น หลัง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ 

แต่ภาพโดยรวมยังคงเปราะบางและมีปัจจัยกดดันในหลายด้าน โดยเฉพาะภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวในระดับต่ำ จากปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชะลอตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศหดตัวลงอย่างรุนแรงจากกำลังซื้อที่ถดถอย รวมถึงคุณภาพหนี้สินที่มีแนวโน้มด้อยลง

“ท่ามกลางความท้าทาย ในช่วงครึ่งปีแรกปี กลุ่มทิสโก้ มีกำไรสุทธิ 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยงวดไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิ 1,749 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ยังได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อจำนำทะเบียนผ่านการขยายสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักชะลอตัวลงตามภาวะตลาดทุนที่ผันผวน และธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ซบเซา” นายศักดิ์ชัย กล่าว

ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิ.ย.2567 มีจำนวน 233,448 ล้านบาท ลดลง 0.6% จากสิ้นปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่หดตัวลง ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อ SME และสินเชื่อจำนำทะเบียนยังคงขยายตัว แต่เติบโตในอัตราที่ช้าลง 

โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มความระมัดระวังและรอบคอบในการปล่อยสินเชื่อใหม่ท่ามกลางสภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ณ สิ้นไตรมาสนี้ อยู่ที่ 2.4% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการขยายสินเชื่อไปในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูง และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า โดยบริษัทมุ่งเน้นการติดตามทวงถามหนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงดำเนินนโยบายการบริหารความเสี่ยงและตั้งสำรองอย่างรัดกุม และมีระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 162.7% 

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.6% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.6% และ 2.0% ตามลำดับ

สำหรับในระยะข้างหน้า กลุ่มทิสโก้ ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ “Sustainable Focus” การขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพบนพื้นฐานการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม พร้อมเพิ่มความระมัดระวังรอบคอบในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกัน จะเดินหน้าเติมเต็มโอกาสทางการเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงให้แก่ลูกค้า ควบคู่กับการติดตามดูแลลูกค้าในกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด

“ในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลุ่มทิสโก้ จะเน้นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยวางกลยุทธ์ ESG in Action ให้สอดรับกับกระบวนการทำงานและการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในมุมการยกระดับความเป็นอยู่และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่สังคม ซึ่งที่ผ่านมาเราดำเนินการอย่างเข้มข้นเพื่อให้คนไทย “ปลดหนี้และมีเงินออม” อาทิ การจัดกิจกรรม Smart HR Fin Coach ติวเข้มความรู้การเงินให้หน่วยงานทรัพยากรบุคคล (HR) ของบริษัทนายจ้าง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพทิสโก้ เพื่อการส่งต่อแนวทางการวางแผนทางการเงินสู่วงกว้าง” นายศักดิ์ชัย กล่าว

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องมือเสริมทักษะทางการเงินในหลายรูปแบบ โดยเน้นให้เข้าใจง่าย สนุก และใช้งานได้จริง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินทองได้อย่างเหมาะสม ทั้งด้านการลงทุน การออม และหนี้สิน เพิ่มเติมจากกิจกรรมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมฉลาดเก็บ ฉลาดใช้ กิจกรรมรู้ไว้เข้าใจหนี้ ค่ายสมหวัง สร้างโอกาส รวมถึงการให้คำปรึกษาเรื่องการรวมหนี้เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีภาระดอกเบี้ยที่ลดลง พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางในเชิงรุกผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นต้น

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.