TRUE งบ Q1/67 โชว์ EBITDA โต 5 ไตรมาสติดต่อกัน หนุนกำไรภายหลังปรับปรุง 802 ล้าน

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2567 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 769 ล้านบาท เนื่องจากมีบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย จำนวน 1,571 ล้านบาท 

โดยหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กำไรสุทธิหลังหักภาษีจะอยู่ที่ 802 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,182 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 3,557 ล้านบาท เป็นผลมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม

สำหรับ EBITDA ในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 23,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4.8% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของรายได้ ในขณะที่การเติบโตประมาณ 40% เกิดจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม และอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการดีขึ้นเป็น 57.2% 

ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 51,347 ล้านบาท ยังคงทรงตัวจากช่วงเดียวปีก่อน แต่ลดลง 1.9% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายอุปกรณ์ลดลงจากปัจจัยฤดูกาล และรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) อยู่ที่ 41,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อน 

โดยรายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อยู่ที่ 32,490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% จากไตรมาสก่อน จากจำนวนกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าเดิม 

รายได้จากการให้บริการออนไลน์ อยู่ที่ 6,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสก่อน ด้วยแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของ ARPU จากการลดลงของการให้ส่วนลดและการยกระดับลูกค้าปัจจุบันไปสู่แพ็กเกจต่างๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น 

รายได้จากบริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (PayTV) อยู่ที่ 1,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23.9% จากไตรมาสก่อน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของรายได้จากธุรกิจดนตรีและบันเทิง

“ทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถพลิกฟื้นธุรกิจ โดยมีกำไรภายหลังการปรับปรุง 802 ล้านบาท พร้อม EBITDA เพิ่มขึ้น 5 ไตรมาสติดต่อกันในไตรมาส 1/2567 รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจมือถือ ออนไลน์ และโทรทัศน์บอกรับสมาชิก” นายมนัสส์ กล่าว 

ในไตรมาส 1/2567 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 13.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 7.0% จากไตรมาสก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม และการมุ่งเน้นมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง ต้นทุนจากการขายลดลงสอดคล้องกับยอดขายสินค้าที่ลดลงในไตรมาสนี้ 

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ในไตรมาส 1/2567 ลดลง 28.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 8.9% จากไตรมาสก่อน โดยได้ประโยชน์จากการควบรวมด้วยการบริหารต้นทุนค่าคอมมิชชั่นและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนหนี้เสียที่ลดลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ยังคงได้รับการควบคุมอย่างดีจากการขับเคลื่อนวัฒนธรรมการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กร

“ทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถพลิกสถานการณ์กลับมามีกำไรได้ภายในเวลาเพียง 12 เดือน หลังการควบรวมกิจการของทรูและดีแทค ผลประกอบการในไตรมาส 1/2567 นับเป็นความสำเร็จที่พิสูจน์ถึงการมุ่งเน้นการดำเนินงานที่เป็นเลิศและความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของบริษัท พร้อมทั้งการเติบโตในเชิงคุณภาพของจำนวนผู้ใช้บริการและรายได้ของเราในระยะยาว ซึ่งส่งผลให้รายได้จากการให้บริการ เติบโตอย่างสม่ำเสมอในทุกไตรมาส พร้อมทั้ง EBITDA เพิ่มขึ้น 5 ไตรมาสติดต่อกัน” นายนายมนัสส์ กล่าว

โดยการเติบโตอย่างยั่งยืนนี้ เกิดจากการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย การนำเทคโนโลยีเสริมบริการเพื่อเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า รวมทั้งการให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพเครือข่ายที่ดีที่สุด โดยบริษัทเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมประชากรมากที่สุดในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตลอดจนโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มีเครือข่าย 5G ครอบคลุม 99% ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และครอบคลุม 90% ทั่วประเทศ 

ซึ่งการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการให้บริการที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น แต่ยังช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายด้านความต้านทานสภาพภูมิอากาศและส่งเสริมตำแหน่งของเราในฐานะบริษัทโทรคมนาคมที่ยั่งยืนที่สุดอันดับ 1 ในโลกด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน 

นายนายมนัสส์ กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น การลงทุนของภาคเอกชนที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนปัจจัยบวกต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวที่ภาครัฐให้ความสำคัญและเร่งผลักดัน ซึ่งสอดคล้องกับการให้ความสำคัญของทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ที่พร้อมมีส่วนร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยด้วยการร่วมสร้างประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสเพื่อลูกค้า 

โดยแบรนด์ทรูและดีแทคยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ชูจุดเด่นเครือข่ายที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เพื่อมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นและน่าประทับใจแก่นักท่องเที่ยวยุคดิจิทัลอย่างครบครัน รวมถึงตอบสนองความต้องการลูกค้าอย่างตรงใจผ่านระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น มั่นใจในการบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้สำหรับปี 2567 ด้วยการมุ่งเน้นการเติบโตที่สร้างกำไรอย่างยั่งยืนด้วยการเร่งดำเนินการในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม ในขณะเดียวกันก็ยังคงปลูกฝังวัฒนธรรมการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงานภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง 

ดังนั้น ยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2567 ตามเดิม โดยคาดว่ารายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จะมีการเติบโต 3-4% EBITDA จะมีการเติบโต 9-11% และค่าใช้จ่ายลงทุนรวมงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม (CAPEX) ประมาณการณ์ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถทำกำไรภายหลังการปรับปรุง (Normalized) ได้ในปี 2567

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า ทรูและดีแทค ยังคงเป็นแบรนด์ยอดนิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างด้าว เรามีการนำความสามารถที่ล้ำสมัยในการวิเคราะห์และเทคโนโลยี AI มาใช้ในการนำเสนอข้อเสนอแบบเฉพาะบุคคลและมีเนื้อหาที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง 

โดยทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถด้านดิจิทัลมากกว่า 5,000 คน ภายในปี 2568 พร้อมทั้งเปลี่ยนการทำงานที่ทำเป็นประจำให้เป็นในรูปแบบอัตโนมัติ 100% ภายในปี 2570 

นอกจากนี้ ยังได้พัฒนานวัตกรรมผู้ช่วยในการให้บริการลูกค้า AI อัจฉริยะ “Mari” (มะลิ) ที่สามารถให้บริการทั้งในระบบแชต และบริการแบบเสียงโดยใช้เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่ง Mari จะเป็นผู้ช่วยในการให้บริการลูกค้าอัจฉริยะ AI หนึ่งเดียวในธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศไทยที่มีความสามารถในการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้าด้วยน้ำเสียงและภาษาที่เป็นธรรมชาติเสมือนมนุษย์ และสามารถให้ความช่วยเหลือแนะนำต่างๆ อย่างเหมาะสมให้แก่ลูกค้า

ในไตรมาส 1/2567 ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้าในประเทศไทย โดยได้พัฒนาเสาสัญญาณรวม 3,700 แห่ง จนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพด้านค่าใช้จ่ายดียิ่งขึ้นอีกด้วย 

ขณะเดียวกัน ยังคงพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า ผ่านศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ Business and Network Intelligence Center (BNIC) ที่ล้ำสมัย ซึ่งตรวจสอบการใช้งานเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานดาต้า การบริหารความจุโครงข่าย ความสมบูรณ์ของระบบ และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ โดยรายงานการใช้งานแบบเรียลไทม์ และการปฏิบัติงานเชิงลึกภายในเครือข่าย ทำให้สามารถลดผลกระทบที่จะเกิดต่อลูกค้าน้อยที่สุด 

นอกจากนี้ โซลูชัน AI ที่สถานีฐานยังช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 15% ซึ่งได้ติดตั้งไปแล้วประมาณ 50% ของสถานที่ตั้งเสาสัญญาณทั่วประเทศ และติดตั้งเสาสัญญาณพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 9,700 แห่ง ซึ่งช่วยให้ทรูบรรลุการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับข้อเสนอคุณค่าเพิ่มเติมเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้า ทำให้แบรนด์ดีแทคและทรูยังคงครองความเป็นผู้นำในกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างด้าว

ในไตรมาส 1/2567 การให้ความสำคัญเชิงคุณภาพในการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ ทำให้มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง 800,000 ราย หรือ 1.6% จากไตรมาสก่อน โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 51.1 ล้านราย ทั้งนี้ จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบรายเดือนและออนไลน์ ได้รับผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการปรับปรุงจำนวนผู้ใช้บริการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สำหรับผู้ใช้งาน 5G มีจำนวน 11 ล้านราย เพิ่มขึ้น 4.7% จากไตรมาสก่อน  

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.