รัฐบาล เร่งสร้างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เกาหลี เพิ่มโอกาสการค้า-ลงทุน
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำชับการทำงานให้ผลักดันการเจรจาการค้ากับต่างประเทศ รักษาตลาดเก่า เพิ่มเติมตลาดใหม่ ที่สินค้าไทยมีศักยภาพตีตลาดได้ ซึ่งรวมถึงการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับทุกตลาด โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับนโยบายนายกรัฐมนตรีเร่งเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สาธารณรัฐเกาหลี (Economic Partnership Agreement: EPA) สานต่อความตกลงการค้าเสรีในระดับภูมิภาค เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมของไทย ดึงดูดการลงทุน รวมถึงเปิดตลาดสินค้าและบริการของไทยไปยังสาธารณรัฐเกาหลีมากขึ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารขอบเขต (Terms of Reference: TOR) ระหว่างนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และนายคอนกี โร (Keonki Roh) ตำแหน่ง Deputy Minister for Trade Negotiation ของกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน (Ministry of Trade, Industry and Energy : MOTIE) ของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สาธารณรัฐเกาหลี (Economic Partnership Agreement: EPA) อย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมีการเจรจารอบแรกในช่วงกลางปี 2567
การเจรจาความตกลงในครั้งนี้ต่อยอดมาจากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–เกาหลี (ASEAN - Korea Free Trade Agreement: AKFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นการพัฒนาความร่วมมือต่าง ๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน เช่น การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในห่วงโซ่การผลิต และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล อีกทั้งเป็นการเพิ่มการลงทุนจากสาธารณรัฐเกาหลี ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ทั้งนี้ ในปี 2566 สาธารณรัฐเกาหลีเป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 14,736.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปสาธารณรัฐเกาหลี 6,070.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทรายแผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม รัฐบาลเชื่อมั่นว่า ผลจากการเจรจาในความตกลงดังกล่าว จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าการส่งออก และการเปิดตลาดของทั้ง 2 ประเทศระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ทำให้สินค้าและบริการหลากหลายชนิดของไทย ได้รับประโยชน์จากความตกลงนี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และประมง เช่น เนื้อไก่แช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป ผลไม้เมืองร้อน เช่น มะม่วง ฝรั่ง และมังคุด ผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ เช่น แป้ง ซอสและของปรุงรส ผลิตภัณฑ์ไม้ เช่น ไม้แปรรูป พาติเคิลบอร์ด ไม้อัดพลายวูด เคมีภัณฑ์ และ บริการด้านธุรกิจ บริการการขนส่ง คลังสินค้า บริการด้านโรงแรมและภัตตาคาร
“นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเรื่องการค้า การส่งออกนอกจากจะสร้างเม็ดเงินให้กับระบบเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังเป็นการเพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนไทยในทุกสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลจึงส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผ่านการเดินหน้าเจรจาในความตกลงต่าง ๆ เพื่อหาช่องทางและตลาดการค้าแห่งใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าไทย พร้อมกันนี้ รัฐบาลดำเนินการเพิ่มศักยภาพสินค้าไทยให้มีความพร้อมในด้านการแข่งขัน และเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายตามยุทธศาสตร์นโยบายการค้าใหม่ของสาธารณรัฐเกาหลี” นายชัย กล่าว
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.