ถกด่วน! หุ้นร้อนไม่แขวน P เน้นเทรด Auction - รายใหญ่ขาย Short ต้องมีของ

     แหล่งข่าววงการตลาดทุน กล่าวว่า จับตาประชุมตลาดหลักทรัพย์ฯในวันพรุ่งนี้ (29 ก.พ. 2567) อาจหยิบยก 2-3 ประเด็นใหญ่ๆมาพิจารณา ทั้ง การใช้เครื่องหมาย P (Pause) ซึ่งเป็นเครื่องหมายห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวที่ใช้กับหลักทรัพย์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนดให้เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย เนื่องจากสภาพการซื้อขายผิดปกติ แทนการใช้เครื่องหมาย SP (Suspension)ในอดีตนั้น อาจจะไม่ขึ้นเครื่องหมาย P ในหุ้นที่มีการปรับตัวร้อนแรง แต่จะกำหนดให้ใช้ระบบเทรดแบบ Auction แทน 

     ซึ่งการซื้อขายแบบ Auction ในเบื้องต้นคือ การเปิดจับคู่ซื้อขายวันละ 3 รอบ (Pre-open1, Pre-open2 และ Pre-close) โดยสุ่มเวลาจับคู่เหมือนหุ้นปกติ ขณะที่ ช่วง Break1 และ Break2 ไม่เปิดให้ส่ง order แต่สามารถ update หรือ cancel order ได้

     นอกจากนี้ สิ่งที่อาจพิจารณา คือ การยกเลิกเกณฑ์ "Ceiling & Floor" รวมถึงหากสถาบันต้องการขาย Short ต้องรายงานการมีหุ้นจริงก่อนขาย โดยไม่รอดูราคาปิด ณ สิ้นวันทำการ เพื่อป้องกันกรณีนักลงทุนขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นในมือ (Naked Short Selling) 

     ถามว่า เกณฑ์ใหม่ Short selling มีผลต่อหุ้นไทย อย่างไร ?

     นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ตามที่ ตลท.แถลงวานนี้ว่าจะมีบางมาตรการที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม Short selling ที่สามารถบังคับใช้ได้เร็วในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ นั่นก็คือ การปรับเพิ่มขนาด Market cap ขั้นต่ำ จากเดิม 5,000 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาท และการกําหนดให้หุ้นนั้นจะต้องมีสัดส่วน Turnover ratio มากกว่า 2% ต่อเดือน

     ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์คงมุมมองเดิมจากสัปดาห์ก่อนว่า การบังคับใช้มาตรการดังกล่าวจะทําให้หุ้นขนาดเล็กบางตัวที่มีมูลค่าการซื้อขายรายเดือนไม่มากจะหลุดออกจาก Universe ซึ่งน่าจะทําให้ปัจจัยที่เคยกดดันราคาหุ้นมาตลอด บรรเทาลงได้ไม่มากก็น้อย อาทิเช่น LPN, WORK, DUSIT, HTC, ASP, SMPC, BGC, TTCL, STPI, TOG เป็นต้น

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเห็นชอบมาตรการเพื่อยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มมาตรการในการทำ Short Selling และ Program Trading โดยคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มอบหมายให้ตลาดหลักทรัพย์เร่งดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวโดยเร็ว และในลำดับถัดไปจะนำส่งให้สำนักงาน ก.ล.ต.พิจารณาอนุมัติ ซึ่งจะส่งผลให้ความน่าสนใจในการทำ Short Selling ลดลง รวมถึงหุ้นบางตัวจะไม่สามารถทำ Short Selling ได้จากการเปลี่ยนเกณฑ์ดังกล่าว ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าหุ้นที่เหมาะต่อการเก็งกำไร ได้แก่ AOT, CPAXT, BTG, BSRC, MBK, TIPH, S, HTC, LPN

     บล.ทิสโก้ ระบุเช่นกันว่า ตามที่ บอร์ต ตลท.เห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมเพื่อที่จะยกระดับการกำกับดูแลการขายชอร์ต (Short Selling) และการใช้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย (Program Trading) หวังคุมผลกระทบและความผันผวนของราคาหุ้น ทั้ง มาตรการควบคุมการ Short Selling โดยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap.) ขั้นต่ำของหุ้นที่จะขายชอร์ตได้เพิ่มขึ้นจาก 5,000 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาท,เพิ่มข้อกำหนดด้านสภาพคล่องซื้อขายต่อเดือนเมื่อเทียบกับปริมาณหุ้นจดทะเบียน (Monthly Turnover) ไม่น้อยกว่า 2% , กรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่า 10% จากราคาปิดของวันก่อนหน้า กำหนดให้ราคาขายชอร์ตต้องเป็นราคาที่สูงกว่าราคาล่าสุด (Uptick Rule)

     มาตรการควบคุม Program Trading กำหนดกรอบเคลื่อนไหวเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น +/- 10% จากราคาซื้อขายล่าสุด ซึ่งหากถึงระดับราคาดังกล่าวก็จะหยุดพักการซื้อขายชั่วคราวก่อนเปิดซื้อขายใหม่ กรณีที่ราคาหุ้นมีความผันผวนมาก อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการซื้อขายของหุ้นที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายเป็นแบบ Call Auction แทน 

    ฝ่ายวิเคราะห์มองมาตรการข้างต้นช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดในระยะยาว แม้อาจส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายในระยะสั้นปรับตัวลดลงก็ตาม หุ้นที่เรามองอาจถูกเป็นเป้าหมายของ Short Covering คือ BTS, SCC, BANPU, SCGP, KBANK

     นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเกณฑ์ Short Selling ใหม่ อาจส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นที่เคยถูกทำ Short Selling ตั้งแต่ต้นปีนี้ไม่สามารถทำได้ อาทิ LPN, WORK, DUSIT, HTC, S, HENG และ NOBLE เป็นต้น (คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มี % Short Sale Value > 3% ขึ้นไป)

     บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า ตลท.ยกระดับความเชื่อมั่นเรื่อง Short Selling และ Program Trading มองเป็น “บวก” ต่อ SET โดยมาตรการ Short Selling ในส่วนการพัฒนาระบบตรวจสอบการมีอยู่จริงของหลักทรัพย์ KCS มองบวกต่อแนวทางการควบคุมดังกล่าว โดยคาดจะช่วยลดระดับปริมาณ Short Selling ลง และสร้างความโปร่งใสในส่วนธุรกรรม Short Selling มากขึ้น โดยเป็นไปตามปริมาณที่มีอยู่จริงของหลักทรัพย์ต่างๆ และป้องกัน Naked Short ได้

    ขณะที่มาตรการ Program Trading จะลดความผันผวนระยะสั้นต่ำลง KCS มองบวกต่อระดับความผันผวนการเก็งกำไรในตลาดที่มีปริมาณลดลง ทำให้การลงทุนนักลงทุนจะโฟกัสที่พื้นฐานธุรกิจได้ดีขึ้นกว่าการที่ต้องติดตามความผันผวนรายวัน เพื่อบริหารความเสี่ยงราคาหุ้นที่ผันผวนระยะสั้น และหุ้นสะท้อนมูลค่าธุรกิจที่เป็นการลงทุนเพื่อระยะกลาง-ยาว 

     ส่วนการเปิดเผยข้อมูลความโปร่งใสจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุน

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.