เศรษฐกิจดี-กำไร บจ.ฟื้น หุ้นไทย Q1 ลุ้น 1476 สิ้นปีแตะ 1590 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวในงาน IAA Analyst Survey ครั้งที่ 1/2567 หัวข้อ “สรุปผลสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก วิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนไตรมาส 1/2567" ว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้นไทยในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1,476 จุด ผลจากกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และตัวเลขภาวะเศรษฐกิจ(GDP)คาดขยายตัวดี บวกแรงอัดฉีดจากงบประมาณภาครัฐคาดเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังเข้ามาหนุน อย่างไรก็ดี ตลาดทุนคาดหวังให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้น
ด้านกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 คาดตลาดเฉลี่ย อยู่ที่ 95.62 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 99.47 บาทต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.32%
ส่วนดัชนีหุ้นไทยปี 2567 คาดลงไปทำจุดต่ำสุด ที่ 1,340 จุด และขึ้นไปแตะสูงสุด ที่ 1,612 จุด สิ้นปี 67 มีโอกาสทดสอบ 1,590 จุด จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวดี และฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศไหลเข้ามาหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยลบ คือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก , ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ เช่น สงคราม เป็นต้น
"ฟันด์โฟลว์ ปีที่ผ่านมาไหลออกใกล้ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งปี 65 ซื้อเข้ามา 2 แสนล้านถือว่าขายออกมาเกือบหมด ข้อดีคือไม่เคยขายออกขนาดนี้เพราะก้อนเข้ามาในปี65ไปหมดแล้ว และฝั่งเราแข็งแรงขึ้น หวังว่ารัฐบาลเศรษฐาจะเดินเรื่องเศรษฐกิจและการค้าได้ดีต่อเนื่อง หวังว่าจากนี้ทิศทางการค้าอาจจะเริ่มได้เห็นและถ้ามาได้จริงน่าจะเริ่มได้เห็นอะไรชัดขึ้น เป็นอีกตัวแปรที่จะทำให้การลงทุนบ้านเราดูดีขึ้น หลายปีที่ผ่านมาจีดีพีอาจไม่ดีเพราะมีตัวแปรหลายเรื่อง แต่ปีนี้ตัวแปรต่างๆน่าจะดีขึ้น หวังว่าจีดีพีน่าจะฟื้น ตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะดี"
ทั้งนี้นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น ราว 8.96% , กองทุนตราสารหนี้ 25.63% , หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.67% , หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.79% , กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.17% , ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.75% , สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน 1.03%
ส่วนการลงทุนต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และ Selective Asia เช่น เกาหลี และเวียดนาม ขณะที่การลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจค้าปลีก , อาหาร , เงินทุนหลักทรัพย์ และการท่องเที่ยว ขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจก่อสร้าง , อสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สูง และธุรกิจประกัน
เห็นพ้องเชียร์ 4 หุ้น
หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป คือ 1. AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยในปี 2567 คาดนักท่องเที่ยว 34.5-35 ล้านคน จากปี 2566 ที่ 27-28 ล้านคน คาดว่าจะเห็นมาตรการรัฐสนับสนุนเพิ่มเติมและนอกจากผลประกอบการจะฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ยังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับขึ้นค่า PSC และการเก็บค่า Transit/Transfer รวมถึงการรอรับโอน 3 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน
2. CPALL ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว High Season และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล Easy E-Receipt ตลอดจนการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึง Digital wallet ในปี 2567 ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย
3. CPN ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งยังมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในระยะยาว มองเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าของกองทุน ThaiESG
4. GPSC ปัจจัยสนับสนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลง และคาดกำไรปี 2567 โต 31% ฟื้นตัวตามค่าไฟที่คาดทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง
ส่วนหุ้นที่ควรเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เพราะเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูงหรือเพิ่มทุน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ฝากถึงรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจมีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณโดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชน ได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ
ส่วนนโยบายแจกเงินนั้น อยากให้เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือ นโยบายช้อปช่วยชาติ และตามมาด้วยเสนอนโยบายด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศเร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG
หุ้นสดใส - ครึ่งหลังโดดเด่น
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวเช่นกันว่า ภาพตลาดหุ้นในไตรมาส 1 โดยปกติจะค่อนข้างสดใส เนื่องด้วยเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนกลับเข้าเพิ่มขึ้นหลังหยุดเทรดในช่วงเทศกาล อีกทั้งในไตรมาสแรกเป็นช่วงการประกาศผลการดำเนินงานและการจ่ายเงินปันผลซึ่งมักจะทำให้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง Outperform
ส่วนฟันด์โฟลว์ต่างชาติในปีนี้ คาดว่ามีโอกาสเห็นเม็ดเงินไหลกลับในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากคาดว่าเม็ดเงินงบประมาณปี 67 จะเริ่มเข้ามาในช่วงเดือนพ.ค.67 ซึ่งจะหนุนการลงทุนของภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชนให้ตามมา ประกอบกับคาดว่าจะเริ่มเห็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่มีความชัดเจนมากขึ้น
"ฟันด์โฟลว์จะเข้ามาหรือไม่ค่อนข้างคาดการณ์ได้ยาก แต่ดูจากบริบทต่างๆคาดครึ่งปีหลังจะมีโอกาสเห็นได้มากกว่า เพราะงบปี 67 จะบังคับใช้ในเดือน เม.ย.นี้ เม็ดเงินน่าจะเข้ามาโครงการต่างๆจะเข้ามา เศรษฐกิจจะเริ่มเห็นชัด ต่างชาติก็จะเริ่มเข้ามา และน่าจะเห็นทิศทางดอกเบี้ยของเฟดที่ชัดขึ้น"
นอกจากนี้ เม็ดเงินกองทุนรวม TESG คาดว่ามีโอกาสมากกว่า 10,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลเข้ากว่า 6,000 ล้านบาท เนื่องจากมีเงื่อนไขดีกว่ากองทุนรวม SSF ที่ถือครองถึง 10 ปี แต่ TESG ถือครองเพียง 8 ปี
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.