AI กำลังเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจ ต้องรับมืออย่างเท่าทัน
“กรุงเทพธุรกิจ” เปิดเวทีสัมมนาหัวข้อ "AI Revolution...AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ" ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ เพื่อถ่ายทอดให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาททุกความเคลื่อนไหวและให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ที่จะเปลี่ยนโอกาสทางธุรกิจ
นายเซีย แมนเซอร์ ฝ่าย Global data & AI Leader ไมโครซอฟท์ คอร์ป ประเทศสหรัฐกล่าวว่า ทั่วโลกใช้ AI สร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศ และเชื่อมโยงโลกเข้าหากันมากกว่าในอดีต โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล สามารถรับมือกับผลกระทบในช่วงการระบาดใหญ่ได้ดีกว่าองค์กรอื่นๆ และมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตนจึงเชื่อว่าทั่วโลก “มาถึงจุดเปลี่ยน” ท่ามกลางความกดดัน ต่างกับการใช้เทคโนโลยีใดๆ ก่อนหน้า เพราะ ความก้าวหน้าของเอไอที่กำลังเพิ่มขึ้นตามความสามารถของมนุษย์ ในการคิด ใช้เหตุผล เรียนรู้ และนำเสนอ ตอนนี้ ทุกคนสามารถเข้าถึง AI ที่ทรงพลัง แต่ก็ต้องใช้มันอย่างรับผิดชอบ สามารถรู้เท่าทันอิทธิพลไม่ว่าเชิงบวกหรือลบ
ขณะที่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในอนาคต AI จะมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นและจะเกิดสังคมใหม่ที่มุนษย์ต้องอยู่กับ AI หลายรูปแบบ ที่ผ่านมากลุ่มปตท. ได้ใช้ AI & Robotics ต่อภาคธุรกิจ และจะช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ประเทศโดยเฉพาะอาเซียนได้ถึง 13% ในปี 2030 ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 2 ที่ทำเรื่องอีโคโนมี หากพูดถึงโอกาสของปตท. และประเทศไทย ซึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่จะนำ AI & Robotics มาใช้ คือทำให้ Robotics ฉลาดด้วยเอไอ เพราะภาคอุตสาหกรรมหนีไม่ได้ นอกจากนี้ ปตท. ยังได้พัฒนา AI มาช่วยทำงานในธุรกิจต่างๆ ทั้งด้านน้ำมัน รวมถึงพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ล่าสุด ก็พัฒนา Automation เช่น โดรน รวมถึงแพลตฟอร์มอัจฉริยะต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมและลูกค้ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม นายอรรถพล กล่าวว่า ต้องการฝากรัฐบาลถึงพื้นฐานสำคัญที่ไทยยังขาด คือ ชิป เพราะไทยไม่มีโรงงานผลิตชิปจริงจัง โดยยังเป็นการผลิตชิปแพคเกจจิ้ง จึงอยากให้รัฐบาลสนับสนุนธุรกิจการผลิตชิป และสุดท้ายต้องการให้ Cybersecurity เป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันการแฮคข้อมูลเกิดขึ้นง่าย ดังนั้นจึงต้องมีการแก้ปัญหาให้ทันต่อสถานการณ์
ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ได้เล่าประสบการณ์ว่า แม้ว่า SCB จะเป็นธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย แต่การตั้งเป้าเป็น AI First Organization กลับไม่ใช่เรื่องง่าย SCB มีการจ้างวิศวกรใหม่กว่า 600-800 คนเพื่อเข้ามาเสริมทีมในการจัดเก็บและจัดเรียงข้อมูล เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ก่อนจะแยกบริษัทลูกออกมาเป็น SCB10X เพื่อนำเอา Big Data มาใช้งานและแตกออกเป็นบริษัทลูกหลายรูปแบบ และมุ่งเป้าว่า จะเป็นบริษัทที่มีรายได้มาจาก AI ภายใน 5 ปี อย่างน้อย 75% อย่างไรก็ตาม ส่วนสิ่งที่ยากที่สุดในการเปลี่ยนผ่านเป็นองค์กรที่มี AI เป็นตัวนำ คือ วัฒนธรรมองค์กร เพราะแม้จะมีเงินลงทุนอีโคซิสเต็ม มีเงินจ้างพนักงานเก่งๆ แต่ถ้าไม่มีวัฒนธรรมองค์กรที่หลงใหลไปกับ AI หรือเต็มใจที่จะใช้งานเครื่องมือต่างๆ ที่พัฒนาด้วย AI เป้าหมายที่ตั้งไว้ย่อมเป็นเรื่องยาก ดังนั้น เราจึงต้องผลักดันให้ AI เป็นเรื่อง Soft Side มากกว่า Hard Side เช่นเดียวกับความคาดหวังให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันผลักดันเรื่องเทคโนโลยี AI ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.