เปลือยประวัติ"ภราดร ปริศนานันทกุล"ชิงเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนฯคนที่1

นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับการคาดหมายว่าจะถูกเสนอชื่อให้ชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 แทน นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังพ้นสมาชิกภาพ เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล เมื่อ 7สิงหาคม 2567 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเสนอชื่อภราดรเป็นรองประธานสภาฯคนที่1 เมินเสียงทักท้วงจากพรรคประชาชนที่ระบุว่ามี สส.มากที่สุดควรจะได้ตำแหน่งนี้ พร้อมชี้ว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย หากพรรคประชาชนจะเสนอชื่อคนชิงตำแหน่งก็สามารถทำได้

ขณะที่นายภราดร ตอบคำถามสื่อครั้งแรกพร้อมทำหน้าที่หรือไม่ด้วยรอยยิ้มระบุว่า “วันพุธรู้ เดี๋ยวค่อยว่ากันครับ”

นายภราดร เป็นบุตรชายของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต สส.อ่างทอง พรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่ง สส.มาแล้ว 4 สมัย ตั้งแต่ปี 2550, 2554, 2562 และ 2566 เคยสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา ก่อนย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย เมื่อปี 2562 เขาพี่ชายของนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย

นายภราดรถือเป็นสส.คนรุ่นใหม่ ที่สส.ภายในพรรคหลายคนให้การยอมรับ มีประสบการณ์ในการเป็นประธาน และรองประธานกรรมาธิการในหลายคณะ รวมถึงยังมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ควบคุมเสียง หรือ วิปรัฐบาล ที่ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้ง ที่มักถูกฝ่ายค้าน ทั้งอดีตพรรคก้าวไกล หรือพรรคเพื่อไทย ในสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน เล่นเกมนับองค์ประชุม นายภราดรก็มักจะคอยตอบโต้เกมการเมืองของฝ่ายค้านในสภา

การลงมติเพื่อเลือกตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จะมีขึ้นในวันพุธที่ 14 สิงหาคมนี้ โดยจะเป็นการพิจารณาลงมติแบบลับเข้าคูหา เป็นเกมการเมืองในสภาที่น่าจับตาว่านายภราดรจะได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 หรือไม่ 

ประวัติการศึกษา

-มัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
-ปริญญาตรี สาขาสถิติ จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
-ปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ จาก Warwick University ประเทศอังกฤษ

ทั้งนี้ การแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่1 เรื่องที่น่าจับตา คือการตรวจรับงานก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เพราะในสมัยนายปดิพัทธ์ ยังไม่สามารถตรวจรับงาน และยังไม่มีการเซ็นรับอาคารรัฐสภาแห่งนี้ได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องของการแก้ไขสัญญา และเรื่องของมาตรการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่มีมูลค่ากว่า 1,824 ล้านบาท