เศรษฐา ส่งคำแถลงปิดคดี ตั้ง พิชิต เพื่อประโยชน์ราชการ วอนศาล ให้ความเป็นธรรม

ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัย คำร้องคดี กลุ่ม 40 อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)  ยื่นคำร้องให้ศาลรธน. วินิจฉัยกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 หรือไม่ ในวันที่ 14ส.ค.

มีรายงานว่า นายเศรษฐา ได้ส่งคำแถลงปิดคดีแบบลายลักษณ์อักษรถึงศาลรัฐธรรมนูญไปแล้วเมื่อช่วงเย็น 30ก.ค.เนื้อหาในคำแถลงปิดคดี โดยเฉพาะข้อต่อสู้ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยมองว่า มีนัยยะความสำคัญไม่น้อยคือ หยิบยกประเด็นอ้างถึง บันทึกการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ปี 2560 ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน เพื่อยืนยันว่า ปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายพิชิต ชื่นบาน ที่นายกฯนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เสนอแต่งตั้งเป็นรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และถูกกลุ่มอดีตสว.ยื่นคำร้องว่า นายพิชิต มีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) เพราะเคยถูกคุมขังจากคำสั่งของศาลฎีกาฯเป็นเวลาหกเดือนในคดีถุงขนม 
 

เอกสารลับของนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่า ช่วงที่กรธ.มีการร่างรธน.ฉบับปัจจุบัน ปี 2560 โดยในช่วงการยกร่าง มาตรา 160 (4) และ (5) ที่ประชุมกรธ.มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางว่าการที่กรธ.จะบัญญัติมาตรา 160 (4) และ (5) ที่ให้รัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมทางจริยธรรมที่ดี จะพิสูจน์ได้อย่างไร และสุดท้ายนายมีชัย ประธานกรธ.บอกว่า หากมีข้อสงสัยในเรื่องการขาดคุณสมบัติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และยังอ้างอีกว่า จากบันทึกการประชุมดังกล่าว นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขานุการกรธ.ที่เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบัน ได้กล่าวในที่ประชุมกรธ. ว่า ร่างมาตรา 160 (4)และ(5) ถือเป็นบรรทัดฐานสำหรับคุณสมบัติรัฐมนตรีที่ควรมี แต่ในทางกลับกัน อาจเป็นช่องทางในการกลั่นแกล้งทางการเมือง จนทำให้มีคำร้องส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญจำนวนมาก ทำให้ศาล กลายเป็นศาลการเมืองไปโดยปริยาย

เอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายกรัฐมนตรี จึงระบุว่า จากบันทึกการประชุมของกรธ.ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า เจตนารมณ์ของรธน. มาตรา 160 (4)และ(5) สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ว่าการวินิจฉัยชี้ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา160 เป็นอำนาจโดยเฉพาะของศาลฯ ทำให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกับตัวนายกฯ จึงไม่อาจตรวจสอบและชี้ขาดประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เอง 

นอกจากนี้ในเอกสารคำชี้แจงของนายกฯ นายกรัฐมนตรี ยังได้ระบุถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ว่า สำหรับนายพิชิต ชื่นบาน ที่เป็นผู้ถูกร้องที่สองในคดีดังกล่าว แต่นายพิชิตได้ลาออกไปก่อนศาลฯ รับคำร้องทำให้ นายพิชิต จึงไม่ได้อยู่ในสถานะผู้ถูกร้องในชั้นศาลฯ

นายกฯ ระบุว่า เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ต้องมีหลักการพิจารณาเช่นเดียวกัน ซึ่งพฤติกรรมของผู้ถูกร้องที่สอง (นายพิชิต) กรณีละเมิดอำนาจศาล เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานกว่า 15 ปีแล้ว และเกิดก่อนรัฐธรรมนูญปี 2560 มีผลบังคับใช้ จึงควรต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ประกอบกับตนเอง(นายกรัฐมนตรี) มีภูมิหลังในการประกอบอาชีพทางธุรกิจ มีประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินที่จำกัด ไม่มีภูมิหลังทางการศึกษาด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จนไม่อาจชี้ขาดได้ว่า นายพิชิต เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี 

ผู้ถูกร้อง ในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องคำนึงถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ เช่นนัยยะของมาตรา 29  ซึ่งให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนมีคำพิพากษาจนถึงที่สุดว่า บุคคลใดได้กระทำผิด เมื่อผู้ถูกร้องยังไม่ได้ถูกวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง(นายกรัฐมนตรี) จึงได้ตัดสินใจไปโดยความสุจริต ตามประเพณีและข้อพึงปฏิบัติทางการเมือง โดยไม่ถือไปก่อนว่าผู้ถูกร้องที่สอง ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ อันจะทำให้ผู้ถูกร้องที่สอง มีลักษณะต้องห้ามไปตลอดชีวิต โดยที่ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อ 15 ปีที่แล้ว 

ดังนั้น การดำเนินการแต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี เมื่อ 27 เมษายน 2567 เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางราชการ ภายใต้ความไว้วางใจทางการเมือง และข้อตกลงทางการเมืองที่พรรคร่วมรัฐบาลมีต่อกัน โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและผู้ถูกร้องที่หนึ่งดำเนินการโดยถูกต้องแล้ว

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยด้วยว่า จากที่ได้เห็นเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาพบว่าในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ได้สรุปประเด็นไว้ว่า การกระทำทั้งหมดตามคำร้อง(กลุ่ม40 สว.) มีที่มาจากข้อกล่าวหา ที่เป็นพฤติกรรมส่วนบุคคลของนายพิชิต ซึ่งศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องและจำหน่ายคดีในส่วนของนายพิชิตไปแล้ว และผู้ถูกร้องที่หนึ่ง(นายกรัฐมนตรี) ควรต้องรับผิดเฉพาะเหตุที่เกิดจาก

(1) การขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามที่เกิดจากการะทำของตัวนายกรัฐมนตรีเองโดยแท้ หรือ(2) การรู้เห็นหรือรับรู้ การขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม ของบุคคลอื่นอย่างชัดแจ้ง แต่ยังคงดำเนินการต่อไป ดังนั้นในคดีนี้ ไม่ว่านายพิชิต จะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามการเป็นรมต.ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็ไม่ได้ส่งผลให้ตัวนายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรีตามไปด้วย เพราะตนเองและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนในการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี ตามที่ได้ปฏิบัติกันมาตลอด 

“อีกทั้งความผิดของผู้ถูกร้องที่สอง คือนายพิชิต ยังเสมือนเป็นความผิดประธาน ในขณะที่มีการเสนอชื่อนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยความผิดประธานโดยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีของตนเอง ในฐานะผู้ถูกร้องที่หนึ่ง จึงเปรียบเสมือนเป็นความผิดอุปกรณ์ จึงไม่อาจมีไปด้วยได้” 

รายงานข่าวแจ้งว่า ในตอนท้ายของคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายกฯ ได้ระบุตอนหนึ่งว่า ตนเองได้ประกอบสัมมาชีพโดยสุจริต ในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ มีประสบการณ์ในการทำงานหลากหลาย แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความมุ่งหวังให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า การได้รับเลือกจากที่ประชุมรัฐสภา ถือเป็นเกียรติยศ เป็นสิริมงคล ที่สร้างความภาคภูมิใจสูงสุด 

“ขอศาลโปรดให้ความเป็นธรรม ต่อผู้ถูกร้องตามหลักความได้สัดส่วน ความสมเหตุสมผลแห่งเหตุ และสอดคล้องกับความไว้วางใจที่สมาชิกรัฐสภา มีมติเห็นชอบให้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้ต่อเนื่องต่อไป โดยมีคำวินิจฉัยให้ ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(4) ประกอบมาตรา 160(4)และ(5)"
 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.