'ไผ่ลิกค์-อรรถกร'ตกขบวน 'บิ๊กป้อม' เสนอชื่อ'อนันต์'นั่งรมช.เกษตรฯ
นายอนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคประชารัฐ ถึงการเสนอชื่อขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคที่ยังว่าง1ตำแหน่งมั่นใจว่ามีคุณสมับติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และเป็นสส.มาแล้วถึง 6 สมัย ไม่มีประวัติด่างพร้อยไม่มีคดีที่ติดค้างในองค์กรอิสระ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที
"โควตารัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ที่ว่างอีก 1 ที่นั่งเป็นโควตาจ.กำแพงเพชร ได้ให้เกียรตินายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชรก่อน รายชื่อถัดไปที่พรรคได้ส่งให้นายกฯ พิจารณาเป็นรายชื่อผม" นายอนันต์ ระบุ
แต่เมื่อถามถึงปัจจัยที่อาจทำให้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นายอนันต์ เห็นว่า ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ซึ่งหากไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ก็ไม่ได้รู้สึกย่อท้อ เพราะการเสนอชื่อ เป็นไปตามกระบวนการของพรรค ซึ่งได้รับการันตีจากหัวหน้าพรรค และคำแนะนำการทำหน้าที่ให้อย่างเต็มที่ด้วยความสุจริตเพื่อแก้ไจขปัญหาให้กับประชาชน
"ผมไม่มีปัญหาโควตาตำแหน่งรัฐมนตรี เพราเข้าใจสัจธรรมการเมืองยังเชื่อมั่นในความเป็นเอกภาพของพรรคพลังประชารัฐ และศักดิ์ศรีของทุกคนพร้อมรับทุกสถานการณ์ และช่วยเหลือพรรคเต็มที่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ และเป็นสถาบันทางการเมือง"
ขณะที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงการเสนอชื่อบุคคลของพรรคให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเสนอแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีระบุเพียงว่า ให้ไปสอบถามจากนายกฯ ก่อนที่จะย้อนถามสื่อมวลชนว่า ''ใครบอกว่าส่งไป 4 ชื่อ'' และเป็นเพียงกระแสข่าว ก่อนที่จะย้ำว่า ตนเองได้เสนอไปเพียง 1 รายชื่อ
เมื่อถามว่าเป็นชื่อของนายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐหรือไม่ พลเอกประวิตรบอกว่า ''ไม่ใช่'' ก่อนที่จะแก้เก้อว่า ''ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่บอก'' และยืนยันว่า บุคคลที่พรรคฯ เสนอชื่อไปให้นายกรัฐมนตรีสามารถทำหน้าที่ บริหารประเทศได้แน่นอนโดยไม่เปิดเผยว่า รายชื่อที่เสนอไปนั้น เป็นคนหนุ่ม หรือคนมีอายุ
ส่วนของตนเองคงไม่ทันแล้ว และหวังว่า จะสามารถเสร็จสิ้นทันในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้า แต่ว่าที่รมต.ของพรรคสามารถทำงานได้ ไม่ว่าเป็นใคร เพราะพรรคฯ มีบุคคลากรที่มีความสามารถ
เมื่อถามว่าส่วนตนเองรับได้หรือไม่ นายไผ่ลิกค์ ชี้แจงว่า ไม่ใช่เรื่องรับได้หรือรับไม่ได้ แต่เข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเคสแรก ที่ต้องการจะเป็นรัฐมนตรีแล้ว ต้องให้เกิดความชัดเจนเรื่องคุณสมบัติ หากรู้สึกว่ายังไม่มีความชัดเจนสามารถรอได้ และเชื่อว่า จะมีวิธีการแก้ไขที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยแล้ว และนายกรัฐมนตรีก็สื่อสารมาว่า ต้องใช้คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใหญ่ในการตีความคุณสมบัติอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจน แต่เรื่องดังกล่าวค่อนข้างย้อนแย้ง เพราะได้ปรึกษากับนักกฎหมายทั้งหมด ซึ่งไม่ได้มีปัญหาใดๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วง และทั้งหมดต้องอยู่ที่นายกรัฐมนตรี
"ยืนยันว่าไม่รู้นึกน้อยใจ เนื่องจากติดปัญหาและได้คุยกับนายกฯ ซึ่งยืนยันว่า อยากให้เรื่องนี้มีความชัดเจน และเดี๋ยวจะมีทางออก เพราะผู้ใหญ่หลายคนบอกว่า เป็นการตีความกฎหมายที่คลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้น เพื่อความสบายใจ จะมีการยื่นให้คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใหญ่ตีความ เพราะนายกรัฐมนตรี ต้องการความชัดเจนแต่จะไม่ทันปรับคณะรัฐมนตรี ครั้งนี้และหวังว่า จะเสร็จสิ้นทางการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้า"
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.