ไขปมตบทรัพย์อธิบดีกรมข้าว"เจ๋งดอกจิก"เป็นจนท.รัฐหรือไม่

ท่าทีพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่อกรณีเจ๋งดอกจิก หรือนายยศวริศ ชูกล่อม ผู้ต้องหาในคดีตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว ล่าสุด นายสาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เพื่อให้รายละเอียดถึงการลงนามในเอกสารคำสั่งให้นายยศวริศ ออกจากคณะทำงานตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 โดยระบุเพียงว่า ไม่ทราบเรื่อง และไม่ได้ยุ่งเรื่องนี้

ก่อนนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ทวีตข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์)ว่า คำสั่งแต่งตั้งนายยศวริศ เป็นคณะทำงานของนายพีรพันธุ์ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่เดือน ธ.ค. 66 ส่วนน.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.อุตรดิตถ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ถูกยกเลิกทันทีหลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้และพฤติกรรมการก่อเหตุของนายยศวริศและน.ส.พิมณัฏฐา ไม่เกี่ยวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

คำสั่งแต่งตั้งนายยศวริศ เป็นคณะทำงานของนายพีรพันธุ์ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่เดือน ธ.ค. 66 ยังเป็นข้อกังขา เนื่องจาก 26ม.ค.67 ซึ่งเป็นวันที่ตำรวจเข้าจับกุมนายยศวริศระหว่างทำบันทึกการจับกุมที่สน.ดุสิต เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า พอทราบเรื่องก็รีบมามอบตัวทันที เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประพฤติไม่ชอบและผิดกฎหหมายแท้จริงแล้วได้"ลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมือง"นานแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์ใจ และไม่ให้พรรครวมไทยสร้างชาติมีปัญหา  

ข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นถกเถียงก็คือนายยศวริศลาออกจากทุกตำแหน่ง หรือถูกยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งเป็นคณะทำงานของนายพีรพันธุ์ สำทับกับการให้ข้อมูลของนายเอกนัฏกับสื่อมวลชนเมื่อ 29ม.ค.67 ที่ว่านายยศวริศ ไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เนื่องจากเคยต้องขัง ถือว่าขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ การเข้ามาช่วยพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีตำแหน่งเป็นทางการ เพียงแต่เป็นผู้ช่วยหาเสียง

ทั้งนี้ อย่าลืมว่า นายเอกนัฏ เป็นตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติสวมเสื้อพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้กับนายยศวริศ และนายสมหวัง อัสราษี อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมายื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อ10ก.พ.2566

การไม่มีตำแหน่งใดๆทางการเมืองของนายศวรริสได้สร้างความกังวลให้กับผู้เสียหาย นายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ทนายความในฐานะที่ปรึกษากฎหมายอธิบดีกรมการข้าว อรรถาธิบายว่าหากผู้ต้องหาไม่ให้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่เข้าข่ายมาตรา 173 ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เพราะโทษสูงสุดคือคือจำคุกตลอดชีวิต ก็จะเหลือเพียงแค่ข้อหากรรโชกทรัพย์ซึ่งโทษเบากว่า และผู้ร่วมกระทำผิดอีกคนก็ไม่ถือเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานซึ่งจะได้รับโทษน้อยไปด้วย 

ขณะที่พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ในฐานะหัวเรือใหญ่ของคดีนี้ ไขข้อข้องใจในประเด็นการเป็นหรือไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอาจทำให้ได้รับโทษน้อยลงว่าเป็นเรื่องของรองนายกฯ หรือเลขาฯ ที่ออกมาพูด เป็นสิทธิที่จะพูดอะไรก็ได้ แต่ในฐานะคณะพนักงานสอบสวน เรากำลังเดินอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานและข้อเท็จจริง ผู้ต้องหาหรือใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะพูดยังไงเราก็รับฟัง แต่ไม่เดินนอกเหนือจากพยานหลักฐานที่มี ถ้าคิดว่ามีหนังสือยกเลิกก็ส่งมา เราก็จะรับฟัง
 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.