“เศรษฐา” สัมมนาแลนด์บริดจ์นอกรอบเอเปค หวังสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เวลา 16.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนครซานฟรานซิสโกซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง)) ณ ห้อง The Director ชั้น 3 โรงแรม Ritz-Carlton นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมงานสัมมนาโครงการ "Thailand Landbridge Roadshow"  

 

โดยระบุว่าโครงการนี้ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมขนส่ง   ซึ่งสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างเอเชียและยุโรป เรือขนส่ง (container ship) ทุกลำจะต้องผ่านช่องแคบมะละกา โดยหนึ่งในสี่ของการค้าโลก และน้ำมันมากกว่า 70% ที่ส่งออกจากภูมิภาคตะวันออกกลางก็ขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ทำให้กลายเป็นคอขวดที่มีการขนส่งคับคั่งที่สุดในโลก แต่ละปีมีเรือประมาณ 90,000 ลำ ผ่านเส้นทางนี้ และเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 2.35 % ทุกปี ซึ่งคาดว่าจะเกินความจุของช่องแคบมะละกาภายในปี 2573 และจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก

 

แต่เนื่องจากช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบที่ยาวและแคบ โดยเฉพาะในช่องฟิลลิป (the Philips Channel) ที่อยู่ตรงช่องแคบสิงคโปร์ (the Singapore Strait) ซึ่งมีความกว้างเพียง 2.8 กิโลเมตร เรือจึงต้องเข้าคิวและเคลื่อนตัวช้าๆ ในแต่ละปีมีอุบัติเหตุทางทะเลมากกว่า 60 ครั้ง รวมทั้งเสี่ยงต่อการการปล้นเรือ และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ โครงการ Landbridge จึงจะเป็นทางเลือก ที่ถูกกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า โดยกลุ่มเป้าหมายที่เป็นไปได้ของ Landbridge คือเรือตู้สินค้า (feeder vessels) สินค้าจากประเทศจีนและประเทศในยุโรป โดยเรือแม่ (Mainline vessel) จะได้รับการส่งต่อโดยเรือตู้สินค้าในพื้นที่นี้ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และดำเนินการได้เวลา 5 วัน สินค้า ข้ามระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกสามารถประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และประหยัดเวลาได้ 3 วัน และผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ไปจนถึง BIMSTEC และประเทศในทวีปยุโรป สามารถกระจายได้โดยใช้เรือตู้สินค้าที่ Landbridge ไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 35% และประหยัดเวลาได้ 14 วัน โดยสรุปการขนส่งสินค้าผ่าน Landbridge จะช่วยลดเวลาการเดินทางได้ 4 วัน และลดต้นทุนโดยเฉลี่ยได้ 15%

 

ปริมาณสินค้าทั้งหมดที่ท่าเรือฝั่งตะวันตกจะอยู่ที่ 19.4 ล้าน TEUs และท่าเรือฝั่งตะวันออกนั้นจะอยู่ที่ 13.8 ล้าน TEUs คิดเป็นประมาณ 23% ของการขนส่งสินค้าทั้งหมดของท่าเรือมะละกา

 

สำหรับน้ำมันดิบ ปริมาณที่ผลิตได้จากตะวันออกกลางเพื่อการขนส่งอยู่ที่ประมาณ 19 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมี 56% หรือประมาณ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ผ่านช่องแคบมะละกา และ 44% ไปยังเอเชียตะวันออกไกล (Asian Far East) และที่เหลือ 7% ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการ Landbridge จึงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับ 7% นี้ เนื่องจากจะช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 6% นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนา Landbridge ในภาคบริการ ผ่านโลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ และการธนาคาร ในภาคการผลิตขั้นปฐมภูมิ (Primary Sector) ผ่านผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้น และในภาคอุตสาหกรรม ผ่านทางอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curves) และการผลิต

โครงการ Landbridge จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม สร้างงาน 280,000 ตำแหน่ง และคาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 5.5% ต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 670,000 ล้านดอลลาร์เมื่อดำเนินโครงการอย่างเต็มรูปแบบ

 

นายกฯ เชื่อมั่นว่า โครงการ Landbridge เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในการลงทุนในโครงการสำคัญเชิงพาณิชย์และเชิงกลยุทธ์ ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยเชื่อมโยงผู้คนในภาคตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้กล่าวเชิญชวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนให้สำรวจโอกาสในการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในโครงการประวัติศาสตร์นี้ และได้รับประโยชน์ร่วมกัน

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.