ทีมชาติไทยแพ้ 8-0 สะท้อนความเละเทะ จากผลประโยชน์ทับซ้อนในวงการฟุตบอล

ความพ่ายแพ้ของทีมชาติไทย ต่อ จอร์เจีย 8-0 เป็นผลงานประเด็นร้อนที่แฟนบอลพูดถึงกันว่อนโซเชียล เพราะไม่คิดว่าทัพ"ช้างศึก"จะบุกไปแพ้เละเทะขนาดนี้

หลายคน (ผู้บริหารไทยลีกบางสโมสร) อาจจะอ้างเหตุผลที่ไม่ปล่อยตัวผู้เล่นตัวหลักมาแข่งว่า อยากให้ทีมชาติไทยได้ลองตัว ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาอยากเก็บแข้งตัวหลักของพวกเขาเอาไว้ใช้งานมากกว่า คิดแค่ว่า ยังไงก็แพ้อยู่แล้วจะบินไปให้เหนื่อยให้เสียเวลาทำไม

แพ้กับทีมที่แข็งกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่แพ้ 8-0 มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้น เรื่องนี้สะท้อนถึงมุมมองและความคิดว่า พวกสโมสรเอง ก็ไม่ได้หวังถึงฟุตบอลไทยได้พัฒนาไปข้างหน้า แต่ไม่อยากให้ทีมตัวเองเสียเปรียบคู่แข่งแค่นั้นเอง

การแข่งขันตามปฏิทิน ฟีฟ่า เดย์ เราจะอ้างว่าลองตัวไม่ได้ เพราะจอร์เจีย เขาตอบรับคำเชิญเราแล้ว และเขาก็จัดเต็มส่งตัวหลักที่ค้าแข้งในลีกใหญ่ๆลงครบ นี่คือการให้เกียรติเราด้วยการส่งผู้เล่นชุดเต็ม

แล้วทีมชาติไทยล่ะให้เกียรติเขาแค่ไหน ส่งนักเตะอายุไม่เกิน 23 ปีไปยังไม่พอ บางคนในลีกยังไม่ได้ลงเลย กลับได้ติดทีมชาติลงในเกมระดับนี้

เราไปย้อนดูกันว่าทำไมเรื่องนี้จึงเป็นปัญหา และทำไมสโมสรใหญ่ถึงไม่ยอมปล่อยผู้เล่นตัวหลักไปร่วมทีมชาติ

ย้อนรอยก่อนไทยบุกยุโรป

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าทีมชาติไทย ไม่ใช่ทีมที่แข็งแกร่งหรือโดดเด่นเรื่องฟุตบอล จึงไม่ค่อยมีทีมจากนอกทวีปเชิญเราไปอุ่นเครื่องเท่าไหร่ หากเราจะแข่งกับทีมจากนอกทวีปคือเชิญมาแข่งในรายการฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ซึ่งทีมเหล่านี้ก็มาเพื่อพักผ่อนด้วยซ้ำ

ปี 2010 คือครั้งล่าสุด (ก่อนไปเยือนจอร์เจีย) ที่ทีมไทยได้รับเชิญจากทีม แอฟริกาใต้ไปอุ่นเครื่อง ตอนนั้นนักเตะไปก็ไม่สมประกอบมีไปเพียง 17 คนและแพ้ทีมแอฟริกาใต้ 4-0 

เกมกับจอร์เจียเมื่อวันที่ 12 ต.ค. คือครั้งแรกในรอบ 13 ปีที่เราได้ออกนอกบ้านไปเจอกับทีมที่แข็งแกร่ง นักเตะระดับท็อปเล่นในเกมที่จริงจังรวดเร็วในเวทียุโรปทุกสัปดาห์อย่างจอร์เจีย 

เรื่องนี้ฝ่ายต่างประเทศไทยของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯทำหนังสือเชิญไปหาชาติต่างๆ ทั่วโลกตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. 65 และเป็น จอร์เจีย กับ เอสโตเนีย ที่ตอบรับคำเชิญของเรา ซึ่งทั้ง 2 ทีมดังกล่าวมีอันดับโลกที่สูงกว่าไทย นี่คือโอกาสดีที่ไทยจะได้เล่นกับทีมที่แข็งแกร่ง และทำคะแนนในฟีฟ่า แรงค์กิ้งให้ดีขึ้นมาบ้าง

"ฟีฟ่าเดย์"โปรแกรมที่ไม่ได้เพิ่งประกาศ
จนมาถึงการประกาศอย่างเป็นทางการช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2566 ว่าเราจะออกไปเยือนยุโรแข่งกับจอร์เจีย และเอสโตเนีย ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วปลายของ ไทยลีก 2022-23 นั่นหมายความว่าปฏิทินฟุตบอลไทย 2023/24 ยังไม่ประกาศออกมา

พอฟุตบอลไทยลีกจบ เริ่มฤดูกาลใหม่มีการวางโปรแกรม โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ บ.ไทยลีก จำกัด ออกปฏิทินการแข่งขันฟุตบอลไทย 2023-24 ซึ่งเกมอุ่นเครื่อง 2 นัดนี้ ถูกใส่เข้าไปในปฏิทินด้วย

ทุกสโมสรรับทราบเป็นอย่างดี เพราะ 2 เกมนี้ถูกบรรจุไว้ในช่วง ฟีฟ่า เดย์ อยู่แล้ว
 

ทว่าด้วยการจัดโปรแกรมลีก และมีรายการเพิ่มเติมที่อัดแน่นเข้ามาอย่างคิงส์ คัพ รวมถึงทีมอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่ต้องไปแข่งฟุตบอล AFC แชมเปี้ยนส์ ลีก ยิ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาของหลายสโมสรที่ไม่ต้องการปล่อยตัวนักเตะออกมาร่วมทีมชาติ

นั่นเองจึงทำให้ทำให้เกมอุ่นเครื่องระดับ A Match ในช่วงฟีฟ่าเดย์ เดือน ต.ค. กับจอร์เจีย และ เอสโตเนีย มีปัญหาขึ้นมา

ฟีฟ่า เดย์ ถูกกำหนดไว้คือ ระหว่างวันที่ 9-17 ต.ค.66 และกำหนดไว้นานเป็นปีไม่ใช่เพิ่งมาวางโปรแกรม ส่วนไทยลีกมีเวลาจัดผังและเลื่อนโปรแกรมให้เหมาะสมได้ 

แต่พวกเขามาเตะนัดที่ 7 วันที่ 8 ต.ค.66 เท่ากับว่านักเตะจะมีเวลาฝึกซ้อม 3 วันก่อนเจอ จอร์เจีย วันที่ 12 ต.ค. ส่วนวันที่ 17 ที่เราจะพบกับเอสโตเนีย คือวันสุดท้ายตามปฏิทินฟีฟ่า หลังจากจบแมตช์กับ เอสโตเนีย นักเตะไทยต้องบินกลับมารับใช้ต้นสังกัดใน ไทยลีก ที่มีโปรแกรมเตะนัดที่ 8 ในวันที่ 20 ต.ค.66 

นั่นคือที่มาของ 3 ทีมใหญ่ที่ไปเล่นใน ACL เลือกจะเก็บแข้งหลักเอาไว้ใช้งาน ไม่ปล่อยตัวไปเล่นให้ทีมชาติไทยในโปรแกรมฟีฟ่าเดย์ 

เมื่อสโมสรมีอำนาจเหนือทีมชาติ
จากการประชุมคณะทำงาน ไทยลีก เมื่อวันที่ 29 ส.ค.66 มีความเห็นจากผู้บริหารใหญ่ในไทยลีก ว่าเกมอุ่นเครื่องครั้งนี้ไม่น่าเกิดประโยชน์เท่าไหร่ 

เพราะนอกจากนักเตะจะต้องเหนื่อยล้ากับการเดินทางแล้ว ยังต้องกรำศึกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 3 สโมสรที่ต้องเล่น ACL ที่จะมีแมตช์ในกลางสัปดาห์ถัดไป

ส่วนช่วงเดือน พ.ย.66 ทีมชาติไทย มีโปรแกรมที่สำคัญที่สุดของปี คือ ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 นัดแรกกับ  จีน จึงอยากให้นักเตะรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมมากที่สุด

ส่วนมาโน่ โพลกิ้ง เฮดโค้ชทีมชาติไทย กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อได้รับการร้องขอจากประธานสโมสรสรที่เขาใกล้ชิด เขาจึงเลทอกที่จะไปเรียกนักเตะหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์เข้ามา 

พอลงสนามแข่งจริงกับจอร์เจีย นักฟุตบอลไทยชุดนี้ ไม่มีใครเคยเจอ สปีดบอลระดับท็อป ไม่เคยโดนรุมแย่ง(เพรส) 2-3 คนพร้อมกัน นี่คือความแข็งแกร่งของทีมจากยุโรปที่เล่นในลีกคุณภาพ  ระดับ เซเรีย อา พอลงสนามจริงเลยทำอะไรไม่ถูกไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร

ที่จริงหากส่งตัวหลักทีมชาติไทยมาครบชุด ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะสู้ได้ แต่สภาพคงไม่เละแบบนี้

ที่จริงแล้วการทำงานและวางคิวของสมาคมกีฬาฟุตบอลนั้นทำตามหลักและทำงานล่วงหน้าเป็นปี การขอไปอุ่นเครื่องในยุโรปก็เป็นเรื่องที่นี่ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ

แต่ที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดแบบนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่เด็ดขาดของ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลที่แทบจะปล่อยเกียร์ว่าง อยู่รอให้ครบวาระในช่วงต้นปีหน้า

แล้วปล่อยให้สโมสรใหญ่ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหลายทีมเข้ามามีบทบาท จนถึงขนาดเลือกหรือไม่เลือกใครก็ได้ติดทีมชาติไป

การไปโดนจอร์เจียยำมาแบบนี้ ทำให้แฟนฟุตบอลไทยได้ตาสว่างว่าใครอยากเห็นวงการฟุตบอลไทยพัฒนามากที่สุด 

เราต้องขอบคุณจอร์เจียด้วยซ้ำที่พวกเขาเอาจริงเอาจัง จนเราได้มองเห็นตัวเองว่าควรจะอยู่ตรงไหน


 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.