นันยางเผยวัยรุ่นไทยเผชิญภาวะคิดมาก จมจ่อมกับอารมณ์ทางลบ
นันยาง แบรนด์ใหญ่ที่ใส่ใจและสร้างแคมเปญสื่อสารกับวัยรุ่นมาอย่างยาวนาน ได้ทำแคมเปญ ด้วยมุมมองใหม่ชวนวัยรุ่นหันมาใจดีกับตัวเอง* มากขึ้น ผ่านแบบสอบถามทางจิตวิทยาชวนสำรวจระดับความใจดีกับตัวเอง** จับมือสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล, ศูนย์บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและสุขภาพจิต Master Peace และ Glow Story ออกแบบแพลตฟอร์มที่เป็นมิตรให้คนได้เข้ามาสำรวจใจตัวเองผ่านเว็บไซต์ nanyangpordee.com โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวกว่า 100,000 รายตลอดปี 2567 ซึ่งถือเป็นจำนวนตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ มีผู้ที่ตอบแบบสำรวจครบถ้วนกว่าครึ่งเป็นเยาวชนวัย 12-18 ปี และมีวัยรุ่นหญิงเป็นสัดส่วนหลักถึง 70% สะท้อนว่าอาจเป็นกลุ่มที่สนใจการดูแลตัวเองเป็นพิเศษ และจากการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติพบ 3 ประเด็นที่น่าหันมาสนใจเกี่ยวกับจิตใจของกลุ่มวัยรุ่นไทย ดังนี้
- ภาพรวมความใจดีกับตัวเองของวัยรุ่นไทย
- เจาะลึกความเครียดความกดดันของวัยรุ่น
- แนวทางการช่วยให้วัยรุ่นหันกลับมาใจดีกับตัวเอง
โดยรายงานฉบับนี้เป็นเพียงหนึ่งในเสียงสะท้อนให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งตนเอง เพื่อน ผู้ปกครอง โรงเรียน และสังคม ร่วมกันเดินหน้ายอมรับธรรมชาติของวัยรุ่น พร้อมสนับสนุนให้วัยรุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงก่อร่างตัวตน และมีแนวโน้มจะประเมินตัดสินตัวเอง ได้เผชิญการเปลี่ยนผ่านอย่างเข้าอกเข้าใจและอ่อนโยน เพราะความใจดีกับตัวเองเป็นประเด็นสำคัญสำหรับวัยรุ่นทุกคน
*‘ความใจดีกับตัวเอง’ เป็นคำที่ใช้แทนเพื่อสื่อสารถึงตัวแปรทางจิตวิทยาความเมตตากรุณาต่อตนเอง (Self-Compassion)
** สำรวจผ่านแบบประเมินความเห็นอกเห็นใจต่อตนเองสำหรับวัยรุ่น - Self-compassion Scale for Youth - Thai Version ของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
1.ภาพรวมความใจดีกับตัวเองของวัยรุ่นไทย
ภาวะที่ส่งผลต่อความใจดีกับตัวเอง ได้แก่
- การตัดสินตัวเอง (Self-Judgment)
- การรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกจากผู้อื่น (Isolation)
- ภาวะจมจ่อมกับอารมณ์ทางลบ (Overidentification)
ผลการสำรวจพบว่าระดับความใจดีกับตัวเองของวัยรุ่นไทยพบว่า
- มีความใจดีกับตัวเอง ระดับปานกลาง มีมากถึงร้อยละ 71
- มีความใจดีกับตัวเอง ระดับต่ำ อยู่ที่ร้อยละ 5
- มีความใจดีกับตัวเอง ระดับสูง อยู่ที่ร้อยละ 5
กล่าวคือเมื่อต้องอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบากหรือเผชิญความท้าทาย ผู้ที่มีระดับความใจดีกับตัวเองในระดับปานกลางและต่ำ มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะจมจ่อมกับอารมณ์ทางลบ (Overidentification) เมื่อเทียบกับอีกสองภาวะข้างต้น ซึ่งจะตอกย้ำตัวเองจนอาจรู้สึกแย่ลงไปกว่าเดิม
2.เจาะลึกความเครียดความกดดันของวัยรุ่น
การสำรวจในครั้งนี้พบว่าภาวะจมจ่อมกับอารมณ์ทางลบ (Overidentification) เป็นภาวะปัญหาที่มีระดับสูงที่สุดในวัยรุ่น ต้นตอปัญหาเกิดจากการที่ไม่สามารถปล่อยวางความคิดทางลบลงได้ มีช่วงเวลาคิดมาก คิดวนเวียน คิดไม่สมเหตุสมผล จนกระตุ้นให้รับรู้สิ่งต่างๆ ไม่ตรงตามความจริงและรู้สึกแย่ลงกว่าเดิมเมื่อมีสถานการณ์เข้ามาปะทะ เช่น สอบตก อกหัก กังวลใจเรื่องครอบครัว จนเกิดความรู้สึกทางลบต่อตนเองขึ้นมา เช่น ผิดหวังกับตัวเอง รู้สึกไร้ค่า ไม่ได้รับความสำคัญ กลัวสิ่งที่จะตามมาในอนาคต
จมอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเวลานาน ไม่รู้เท่าทันว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ยากที่จะรับรู้สถานการณ์อย่างเป็นกลาง โดยความเครียดในวัยรุ่นนี้ย่อมมีผลกระทบมาจากสังคมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ รวมถึงบรรทัดฐานและความคาดหวังจากสังคม
นอกจากนี้ยังพบประเด็นที่น่าสนใจจากกลุ่มวัยรุ่นชาย แม้จะรับรู้ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนและสังคม ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แต่ก็มีแนวโน้มที่จะไม่อนุญาตให้ตัวเองทำผิดพลาด และพยายามที่จะคงความสมบูรณ์แบบไว้ ความรู้สึกนี้อาจเป็นต้นตอของความเครียดสะสมและส่งผลกระทบในระยะยาวได้ สาเหตุที่วัยรุ่นชายยอมรับในความผิดพลาดได้ยากนั้น อาจมาจากแรงกดดันของบรรทัดฐานความเป็นชายจากสังคมจนรู้สึกว่าผิดพลาดหรืออ่อนแอไม่ได้ ในขณะที่กลุ่ม LGBTQ+ ที่มีระดับความใจดีต่อตัวเองน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเพศอื่น อาจเกิดจากความเครียดที่มาจากความรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับในตัวตน
วิธีสำรวจเบื้องต้นว่ามีความรู้สึกหรือพฤติกรรมที่สะท้อนการกดดันตัวเอง ได้แก่
- การต่อว่า หรือตำหนิตัวเองบ่อยๆ ด้วยถ้อยคำที่ใจร้าย
- การตัดสินหรือวิจารณ์ตัวเองอยู่เสมอ
- รู้สึกแปลกแยกและรู้สึกว่าต้องเผชิญสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง
- คิดว่าสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเราคนเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ ผู้สนใจยังสามารถทำแบบสำรวจความใจดีให้ตัวเอง พร้อมรับคำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้เมื่อตัวเองหรือคนรอบข้างเผชิญกับการกดดันตัวเอง ทางเว็บไซต์ nanyangpordee.com ได้อย่างต่อเนื่อง
3.แนวทางการช่วยให้วัยรุ่นหันกลับมาใจดีกับตัวเอง
การสนับสนุนโดยตัวเอง
ถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่า “ช่วงนี้รู้สึกยังไงบ้าง?” เหมือนเราเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองที่ใส่ใจกัน ค่อยๆ ระบุความรู้สึกให้ชัดเจน รับรู้ที่มาของความรู้สึกนั้น และไม่ตัดสินหรือตำหนิตัวเอง มองว่าเราเป็นคนธรรมดาที่ผิดพลาดได้ ไม่โทษตัวเอง แต่เปลี่ยนมาเปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้เรียนรู้ที่จะเติบโตอย่างไม่กดดันตัวเอง ปรับวิธีการปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความอ่อนโยนและใจดีกับตัวเอง
การสนับสนุนจากเพื่อน
เพื่อนคือคนสำคัญของช่วงชีวิตวัยรุ่นที่สามารถช่วยดูแลสุขภาพจิตกันและกันได้ กระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Support) แบ่งปันปัญหาที่ประสบ จุดที่รู้สึกผิดหวังในตัวเอง มีการรับฟังกันและกัน เพื่อรู้สึกเชื่อมโยงและชดเชยความรู้สึกกดดันที่ได้รับจากสังคม จนทำให้ไม่กล้าบอกเล่าถึงปัญหาและต้องเก็บไว้ภายในคนเดียว ไม่ได้มีแต่เราคนเดียวที่ผิดพลาด แต่พวกเราอยู่ซัพพอร์ตกันและกันได้อย่างเข้าใจ
การสนับสนุนจากผู้ปกครองและสังคม
ผู้ปกครองและสังคมมีส่วนช่วยเหลือวัยรุ่นได้ด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่ตัดสินเด็กรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นสมัยนี้ว่าชอบ ‘ดราม่า’ หรือ ‘คิดมาก’ เพราะจะยิ่งตอกย้ำการตำหนิตัดสินตัวเองของวัยรุ่น สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย ถามความคิดความรู้สึก เน้นรับฟังอย่างเป็นกลาง แนะนำบนพื้นฐานความพร้อมทางจิตใจ ไม่เผลอสั่งสอนก่อนได้ยินเสียงความทุกข์ของเขาและอยู่เคียงข้างในวันที่ไม่เป็นอย่างหวัง
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.