4 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเวลาที่ดีที่สุดในการกินผลไม้

หลายคนอาจเคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกินผลไม้ บ้างก็ว่าควรกินตอนเช้า บ้างก็ว่าควรกินก่อนอาหาร บ้างก็ว่าควรกินหลังอาหาร แต่ความเชื่อเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่? ความจริงก็คือยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่ามีช่วงเวลาที่ดีที่สุดหรือแย่ที่สุดในการกินผลไม้ การกินผลไม้เป็นวิธีที่ดีและอร่อยในการเพิ่มสารอาหารให้กับร่างกาย โดยไม่คำนึงถึงเวลาที่คุณกิน

4 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกินผลไม้

1.ต้องกินผลไม้ตอนท้องว่างเท่านั้น

ความเชื่อนี้มักอ้างว่าการกินผลไม้ร่วมกับมื้ออาหารจะทำให้ระบบย่อยทำงานช้าลง อาหารตกค้างในกระเพาะ และเกิดการหมักหรือเน่าเสีย นอกจากนี้ยังอ้างว่าการกินผลไม้กับอาหารจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด และอาการไม่สบายท้องอื่นๆ อีกมากมาย

ความจริง:

  • แม้ว่ากากใยในผลไม้จะช่วยชะลอการปล่อยอาหารออกจากกระเพาะอาหาร แต่ข้ออ้างอื่นๆ ล้วนเป็นความเข้าใจผิด
  • ผลไม้ช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารช้าลงจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารจะตกค้างอยู่นานจนเน่าเสีย
  • งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้เข้าร่วมที่รับประทานเจลเพคติน ซึ่งเป็นกากใยชนิดหนึ่งในผลไม้ มีอัตราการย่อยอาหารช้าลงประมาณ 82 นาที เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กินเพคตินซึ่งอยู่ที่ประมาณ 70 นาที
  • ถึงแม้ความเร็วในการย่อยจะต่างกันเล็กน้อย แต่ไม่ช้าจนทำให้เกิดการเน่าเสียในกระเพาะอาหาร
  • การชะลอการย่อยอาหารจากกระเพาะอาหารโดยทั่วไปถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยให้รู้สึกอิ่มอยู่ได้นานขึ้น
  • แม้ว่าผลไม้จะทำให้กากอาหารอยู่ในกระเพาะนานกว่าปกติ แต่กระเพาะอาหารของเราถูกออกแบบมาเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของการหมักและเน่าเสีย
  • เมื่ออาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร มันจะถูกผสมกับกรดในกระเพาะ ซึ่งมีค่า pH ต่ำมาก (ประมาณ 1-2) สภาพแวดล้อมที่เป็นกรดรุนแรงเช่นนี้ ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ส่วนใหญ่
  • กระบวนการย่อยอาหารนี้มีส่วนช่วยในการกำจัดแบคทีเรียในอาหารและป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรค

2.กินผลไม้ก่อนหรือหลังอาหารลดคุณค่าทางโภชนาการ

ความเชื่อนี้มักต่อเนื่องมาจากความเชื่อแรกที่ว่าต้องกินผลไม้ตอนท้องว่างเท่านั้น ความเชื่อนี้อ้างว่าเราต้องกินผลไม้ตอนท้องว่างเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน โดยอ้างว่าการกินผลไม้ก่อนหรือหลังอาหารจะทำให้สูญเสียสารอาหารไป

ความจริง: ร่างกายมนุษย์มีการพัฒนาตามธรรมชาติให้สามารถดึงสารอาหารจากอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

  • เมื่อเรากินอาหาร กระเพาะอาหารจะทำหน้าที่เป็นเหมือนที่เก็บ กักตุนอาหาร ปล่อยออกมาทีละน้อยเพื่อใหลำไส้เล็กย่อยได้ง่าย
  • ลำไส้เล็ก ถูกออกแบบมาให้ดูดซึมสารอาหารได้มากที่สุด มีความยาวประมาณ 6 เมตร และมีพื้นที่สำหรับการดูดซึมมากถึง 30 ตารางเมตร
  • พื้นที่ดูดซึมขนาดใหญ่นี้ ทำให้การดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ (และอาหารอื่นๆ) เป็นเรื่องง่ายสำหรับระบบย่อยอาหาร ไม่ว่าคุณจะกินผลไม้ตอนท้องว่างหรือร่วมกับมื้ออาหาร

3.เบาหวานกับการกินผลไม้ กินแยกมื้อดีไหม

ความเชื่อที่ว่าผู้ป่วยเบาหวานควรจะกินผลไม้ก่อนหรือหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง มักอ้างว่าจะช่วยให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

ความจริง:

  • ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าการกินผลไม้แยกมื้อจะช่วยให้ย่อยอาหารดีขึ้น
  • ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นคือ น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตในผลไม้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง

ทางเลือกที่ดีกว่า:

  • ลองกินผลไม้ร่วมกับมื้ออาหาร หรือเป็นของว่างแทนการกินแยกมื้อ
  • การกินผลไม้ร่วมกับอาหารที่มีโปรตีน ไฟเบอร์ หรือไขมันสูง จะช่วยชะลอการปล่อยอาหารจากกระเพาะอาหารไปยังลำไส้เล็ก
  • ส่งผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานเพราะน้ำตาลจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทีละน้อย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้น
  • งานวิจัยพบว่าใยอาหารละลายน้ำ 7.5 กรัม (พบได้ในผลไม้) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารได้ถึง 25%
  • ชนิดของผลไม้ก็สำคัญ ผู้ป่วยเบาหวานควรกินผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ต่ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ช้ากว่า เช่น เบอร์รี่ ส้ม แก้วมังกร (หลีกเลี่ยงแตงโม สับปะรด ผลไม้แห้ง)

กรณีผู้ป่วยเบาหวานที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

  • ปัญหาที่พบบ่อยคือ เบื่ออาหาร (Gastroparesis) ภาวะที่กระเพาะอาหารทำงานช้าหรือไม่ทำงานเลย
  • แม้ว่าการปรับเปลี่ยนอาหารบางอย่างอาจช่วยได้ แต่การกินผลไม้ตอนท้องว่าง ไม่ใช่วิธีการรักษา

4.เช้าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกินผลไม้

ความเชื่อนี้ขาดทั้งหลักการทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานรองรับ แหล่งข้อมูลบางแหล่งออนไลน์อ้างว่า การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงอย่างผลไม้จะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและ “ปลุก” ระบบย่อยอาหารให้ตื่น

ความจริง:

  • อาหารทุกชนิดที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต จะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดชั่วคราว ไม่ว่าจะกินตอนไหนก็ตาม เนื่องจากร่างกายกำลังดูดซึมกลูโคส
  • นอกเหนือจากการให้พลังงานและสารอาหารอื่นๆ แก่ร่างกายแล้ว การกระโดดของน้ำตาลในเลือดนี้ ไม่มีประโยชน์พิเศษใดๆ
  • ระบบย่อยอาหารของคุณไม่จำเป็นต้อง “ปลุก” เพราะระบบย่อยอาหารพร้อมทำงานทันทีที่อาหารสัมผัสลิ้นของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด
  • แม้ว่าการกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงอาจทำให้ร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นพลังงานชั่วคราว แต่ไม่ได้ส่งผลต่ออัตราการเผาผลาญโดยรวม

 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.