7 สัญญาณที่บอกว่า “ความรัก” เล่นงานคุณเข้าให้แล้ว

ความรัก เป็นอาการทางใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ความน่าฉงนของมัน คือสามารถจู่โจมเจ้าของหัวใจได้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าไปรู้สึกรักใครสักคนตั้งแต่เมื่อไร โดยเฉพาะกับคนที่ใช้ชีวิตโสดมาเป็นเวลานาน โสดชนิดที่ห่างเหินกับความรักมาก ๆ เมื่อความรักเข้ามาทักทาย ก็มักจะไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่ากำลังโดนความรักเล่นงาน สิ่งที่พอจะรู้ตัวได้มีแค่เพียงว่าความรู้สึกและพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวเองไม่ใช่เราคนเดิม

โดยทั่วไป ผู้คนสามารถรับรู้และแยกแยะได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างไร แต่กับคนที่ไม่เคยฝักใฝ่ในเรื่องของความรัก ไม่เคยสนใจที่จะมีความรัก หรือปิดประตูหัวใจของตัวเองมาเนิ่นนาน อาจพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นและรู้สึกอยู่นี้คืออาการของคนมีความรักหรือไม่ การที่คุณสับสน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่คือความรู้สึกอะไรกันแน่ อาจนำพาคุณไปเจอเข้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งยาก เพราะความรักมักจะทำให้การกระทำของคุณเปลี่ยนไป แต่คุณกลับไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณเปลี่ยน และไม่รู้ว่าจะรับมือกับความรู้สึกที่เอ่อล้นนั้นอย่างไรด้วย คำถามคือ แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองกำลังถูกความรักเล่นงาน มีวิธีการง่าย ๆ ด้วยการสังเกตอาการ มันจะมีสัญญาณเตือนดังนี้

1. คุณใช้คำว่า “เรา” มากกว่า “ฉัน”

การใช้ภาษา เป็นข้อสังเกตหนึ่งที่สามารถบอกได้ว่าคุณมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร ลองสังเกตดูว่าคุณมักจะใช้สรรพนามอะไรในการสนทนากับเขาหรือเธอ ซึ่งถ้าคุณมีความรู้สึกที่ใกล้ชิดหรือพิเศษต่อใครสักคน หรืออาจเป็นความรู้สึกตกหลุมรักเข้าให้แล้ว คุณก็มีแนวโน้มที่จะใช้สรรพนามพหูพจน์ในการสนทนาบ่อยกว่าสรรพนามเอกพจน์ คำว่า “เรา” ที่คุณอาจเผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นเพราะความรู้สึกภายในใจของคุณที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับใครคนนั้นนั่นเอง ดังนั้น หากคุณสังเกตตัวเองได้ว่าเวลาที่คุณคุยกับใคร แล้วคุณใช้สรรพนามพหูพจน์ที่นับรวมคุณกับเขาหรือเธอคนนั้นจนกลายเป็นคำว่า “เรา” คุณอาจจะรู้สึกชอบหรือตกหลุมรักใครคนนั้นมากกว่าที่คิดก็ได้

2. คุณพร้อมที่จะเสียสละให้คนอื่น

คนที่โสดมานานมักจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตสบาย ๆ ตามลำพังโดยที่ไม่มีใครเข้ามาร่วมแชร์อะไรให้วุ่นวาย ด้วยความที่ไม่เคยต้องเสียสละอะไรให้ใครคนอื่นโดยไม่จำเป็น ไม่เคยรู้สึกว่าต้องเอาใจใครมาใส่ใจเรา มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้องเสียสละความสุขของตัวเองให้คนอื่น อย่างไรก็ตาม ความรักจะทำให้คุณรู้สึกอยากปรับเปลี่ยนความเคยชินนี้ คุณพร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวที่คุณหวงแหนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสัมพันธ์ระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเวลา อารมณ์ หรือทรัพยากรทางการเงิน จากที่เคยทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ความรักจะทำให้คุณยอมสละเวลานอนออกไปเจอหน้าใครสักคน ยอมที่จะไม่อารมณ์เสียเวลาอยู่กับใครคนนั้น และอยากมอบของขวัญดี ๆ เพื่อแสดงความจริงใจและดูแลพวกเขา

3. คุณชอบมองหน้าเขาหรือเธอ

อันที่จริงสัญญาณแรก ๆ ที่คุณควรจะสังเกตตัวเองได้ว่าตัวเองอาจจะกำลังมีความรัก ก็คือคุณเริ่มมีความต้องการที่จะมองหน้าใครสักคนนาน ๆ และอยากที่จะเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาหรือเธอเกินความจำเป็นในบริบทนั้น ๆ การที่คุณสนใจใครสักคนในบริบทของความรัก สายตาของคุณจะมุ่งความสนใจไปที่ใบหน้าพวกเขาเป็นหลัก แต่คุณก็รู้สึกเขินอายนะเวลาที่คุณได้สบตาเขาหรือเธอ และก็มีความกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะแอบมองหน้าพวกเขาด้วย (ใจคืออยากมอง) คุณจะลังเล ใจหนึ่งคุณอยากหลบตาเพราะกลัวว่าสายตาตัวเองจะบอกเจตนาหรือความรู้สึกชัดเจนเกินไป ทว่าอีกใจก็คือถ้าเอาแต่หลบตา ทำเป็นไม่มองไม่สนใจ ก็กลัวเสียเวลาและเสียใจที่ไม่ได้ (แอบ) มองหน้าพวกเขานาน ๆ

4. คุณอยากใกล้ชิดกับเขาหรือเธอตลอดเวลา

แน่นอนว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดสำหรับคนที่เคยอยู่แบบโสด ๆ มาโดยตลอด เมื่อจู่ ๆ คุณก็เอาแต่คิดถึงคนคนนั้นตลอดเวลา รู้สึกอยากจะใกล้ชิด อยากจะเจอหน้า จนบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกละอายใจนิด ๆ ที่จับได้ว่าตัวเองชอบพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับเขาหรือเธอบ่อยเกินไป คุณอาจจะรู้สึกแปลก แต่จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่คุณจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความรัก เพราะความรักในระยะต่าง ๆ ล้วนมีแรงขับที่เกิดจากสารเคมีในสมองทั้งสิ้น เมื่อคุณมีความรัก สมองจะถูกกระตุ้นในลักษณะที่คล้ายกับการติดสารเสพติด เพราะฉะนั้น ถ้าคุณกระวนกระวายอยากเจอใครสักคนอยู่ตลอดเวลา คุณกำลังถูกความรักเล่นงานเข้าให้แล้ว

5. คุณเริ่มไม่รังเกียจการพึ่งพาอาศัยกัน

การพึ่งพาอาศัยคนอื่นและรับผิดชอบชีวิตคนอื่นแม้เพียงเล็กน้อย เป็นเรื่องที่มักจะทำให้คนโสดรู้สึกไม่สบายใจ หลายคนไม่ชอบความรู้สึกที่จะต้องง้องอนขอความช่วยเหลือหรือพึ่งพาคนอื่นด้วยซ้ำไป เพราะคนโสดจะคุ้นเคยกับการทำอะไรคนเดียว รับผิดชอบแค่ตัวเอง ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง คนที่โสดมานาน พวกเขาจะพึ่งพาตัวเองและช่วยเหลือตัวเองได้แทบทุกอย่าง หากทำเองไม่ได้จนต้องพึ่งพาใคร ก็จะเป็นไปในวิถีที่ให้ค่าตอบแทน คุณจะนึกภาพการพึ่งพาด้วยหัวใจไม่ออกเลย แต่ความรักจะทำให้คุณมีมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับการพึ่งพาคนอื่นลดลง มาจากความอยากใกล้ชิดและเป็นหนึ่งเดียว คุณไม่รังเกียจที่ต้องขอความช่วยเหลือจากใครคนนั้น และพร้อมเป็นที่พึ่งพิงให้พวกเขาด้วย

6. ความแตกต่างอาจจะดึงดูด แต่คุณพยายามมองหาความคล้ายคลึงมากกว่า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาที่คุณชอบใครสักคน การได้รับรู้ว่าคุณกับเขาหรือเธอมีอะไรที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันมาก ๆ มันเป็นความรู้สึกที่ดีต่อใจ มันสามารถทำให้คุณนั่งอมยิ้มได้ทั้งวันเมื่อนึกถึงความบังเอิญที่เขาหรือเธอมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกับคุณเกินไป โดยเฉพาะนิสัยแปลก ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน ความแปลกที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนทั่วไปมาโดยตลอด กลับเป็นสิ่งที่แมตช์พวกคุณให้เข้ากันได้ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ มันเหมือนเป็นพรหมลิขิตที่ฟ้าส่งคนนี้ลงมาหาคุณเลย ก่อนหน้านี้ คุณอาจจะคิดว่าการที่คนเรามีอะไรที่ตรงข้ามกันจะดึงดูดกันและกัน ใช่! แต่มันดึงดูดเข้าหากันในระยะสั้นเท่านั้น หากคิดจะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว คุณและคนรักมีแนวโน้มที่จะเหมือนกันมากกว่า

7. คุณถูกดึงดูดทางร่างกาย

อย่าพยายามโต้แย้งว่าความรัก (ในเชิงชู้สาว) ไม่มีความเกี่ยวข้องกับแรงดึงดูดทางเพศเลย เพราะในท้ายที่สุด เมื่อคุณรักใครสักคนและลงเอยด้วยการแต่งงานใช้ชีวิตคู่ มันก็มีเรื่องของเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ดี ความรักในระยะของความผูกพัน (เหนือกว่าความใคร่และความหลงใหล) ความต้องการทางเพศและพฤติกรรมทางเพศก็ช่วยให้คู่รักมีความใกล้ชิด เป็นความผูกมัด เป็นพันธนาการที่ทำให้คู่รักใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ดังนั้น เซ็กซ์เป็นหนึ่งในกลไกที่ทำให้คู่รักอยู่ด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์แห่งความรักที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ (ตราบใดที่ควบคุมได้) ถ้าคุณจะรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดทางเพศและมีความต้องการทางเพศเมื่อตกหลุมรัก

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.