วิธีการเลือกซื้อ ที่นอน ต้องเลือกอย่างไรดี?
เราเชื่อว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ และในยามตื่นตอนเช้ารู้สึกไม่สดชื่น ปวดเมื่อย หรือรู้สึกเหมือนกับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ซึ่งแน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการนอนที่อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ แต่หนึ่งในปัจจัยที่ใครหลายคนมักจะมองข้าม ก็คือ ที่นอน รู้หรือไม่ว่าที่นอนนั้นมีผลต่อการนอนของเราอย่างมาก คุณภาพการนอนที่ดีอาจขึ้นอยู่กับการเลือกที่นอน ดังนั้นหากต้องการจะเลือกซื้อที่นอนจะต้องใส่ใจในการเลือกมากทีเดียว
ที่นอนมีกี่ประเภท?
ก่อนที่จะเลือกซื้อที่นอน เราอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของที่นอนแต่ละประเภทกันก่อน เนื่องจากที่นอนเองก็เป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ที่มีให้เลือกด้วยกันหลายแบบ และมีการนำเอาวัสดุที่มีความแตกต่างกันมาใช้ ซึ่งวัสดุต่างๆ ที่นำเอามาใช้ทำที่นอนเหล่านี้ล้วนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปด้วย จึงทำให้ที่นอนที่เราใช้ในการนอนส่งผลต่อคุณภาพของการนอนหลับของเราในยามค่ำคืน โดยเราได้รวบรวมที่นอน 4 ประเภท ที่มักพบเห็นบ่อยมาเป็นแนวทางการเลือกดังนี้
1. ที่นอนยางพารา
ที่นอนประเภทนี้ เป็นที่นอนที่ทำมาจากน้ำยางพารา มีความยืดหยุ่นสูง โดยเนื้อของที่นอนยางพารานั้นจะมีการยึดตัวกันเหนี่ยวแน่น ทำให้ที่นอนยางพารานี้ไม่สามารถที่จะยุบตัวได้ง่าย มีคุณสมบัติทนต่อแรงกดทับ และด้วยลักษณะที่มีรูเล็กๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ที่นอนยางพาราไม่กักเก็บฝุ่นและความชื้น
- ข้อดีของที่นอนยางพารา : ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง, รับแรงกดทับได้มาก, ระบายอากาศได้ดี, ไม่กักเก็บฝุ่น และรองรับสรีระผู้นอนได้ดี
- ข้อเสียของที่นอนยางพารา : มีน้ำหนักมาก, ราคาค่อนข้างสูง
2. ที่นอนฟองน้ำอัด
เป็นที่นอนที่มีกระบวนการผลิตโดยการนำเอาฟองน้ำมาบดเป็นชิ้นเล็กๆ และนำเอามาอัดให้แน่นจนกลายเป็นที่นอน เป็นหนึ่งในประเภทของที่นอนที่ค่อนข้างได้รับความนิยม โดยที่นอนประเภทนี้จะมีความยืดหยุ่นต่ำ
- ข้อดีของที่นอนฟองน้ำอัด : เนื้อสัมผัสแน่นพอดีเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบนอนที่นอนนิ่มจนเกินไป, มีน้ำหนักเบา, ทำความสะอาดง่าย, ราคาไม่สูง
- ข้อเสียของที่นอนฟองน้ำอัด : ก่อให้เกิดความชื้นได้ง่าย, หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจเกิดการยุบตัว และทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา
3. ที่นอนสปริง
ที่นอนสปริงเป็นที่นอนที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง สามารถที่จะยุบคืนตัวได้ดี และที่สำคัญจะให้ความรู้สึกนุ่มเด้ง โดยที่นอนสปริงนั้นจะมีให้เลือกหลายแบบ อาทิเช่น ที่นอนสปริงแบบบอนแนลล์, ที่นอนสปริงแบบออฟเซ็ท และที่นอนสปริงแบบพ็อกเก็ต
- ข้อดีของที่นอนสปริง : รองรับน้ำหนักได้ดี, มีความยืดหยุ่นสูง, น้ำหนักเบา, ราคาไม่สูง
- ข้อเสียของที่นอนสปริง : หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจเกิดการยุบตัวของสปริง และทำให้เกิดเสียงรบกวนในตอนนอนได้
4. ที่นอนใยมะพร้าว
สำหรับที่นอนใยมะพร้าว จะเป็นที่นอนที่มีกระบวนการผลิตโดยการใช้กากใยมะพร้าวและกาวนำเอามาขึ้นรูป จากนั้นจึงทำการอัดให้แน่นจนกลายเป็นที่นอน ซึ่งที่นอนใยมะพร้าวจะเป็นที่นอนที่มีความหนาแน่นสูง และมีผิวสัมผัสที่แข็งกระด้าง
- ข้อดีของที่นอนใยมะพร้าว : มีความแข็งแรง, ยุบตัวยาก, น้ำหนักเบา
- ข้อเสียของที่นอนใยมะพร้าว : ไม่มีช่องระบายอากาศส่งผลให้เป็นที่สะสมไรฝุ่น, หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเสื่อมสภาพ ใยมะพร้าวข้างในจะหลุดออกมาและอาจทิ่มตามตัวได้
5. ที่นอนเมมโมรี่โฟม
ที่นอนเมมโมรี่โฟม คือที่นอนที่ทำจากวัสดุโพลียูรีเทนที่มีโครงสร้างเซลล์ปิด มีคุณสมบัติในการจดจำแรงกดทับและคืนตัวช้าๆ จึงสามารถโอบรับสรีระของผู้นอนได้เป็นอย่างดี ช่วยลดแรงกดทับและอาการปวดเมื่อยต่างๆ ได้ดี
- ข้อดีของที่นอนเมมโมรี่โฟม : รองรับน้ำหนักได้มาก, ปรับรูปทรงตามสรีระผู้ใช้งาน, ลดอาการปวดหรือกดทับของร่างกาย
- ข้อเสียของที่นอนเมมโมรี่โฟม : มีน้ำหนักมากกว่าที่นอนชนิดอื่นๆ สะสมความร้อนได้มากกว่า และมีราคาสูงเมื่อเทียบกับที่นอนทั่วไป
6. ที่นอนไฮบริด
ที่นอนไฮบริด คือที่นอนที่ผสมผสานวัสดุระหว่าง สปริง โฟม และยางพารา เพื่อช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของที่นอนให้ดีขึ้น โดยสปริงจะทำหน้าที่รองรับน้ำหนักส่วนโฟมจะทำหน้าที่กระจายแรงกดทับ และยางพาราจะทำหน้าที่รองรับสรีระ
- ข้อดีของที่นอนไฮบริด : รองรับน้ำหนักได้มาก ช่วยลดแรงกดทับของร่างกาย มีความยืดหยุ่นสูง
- ข้อเสียของที่นอนไฮบริด : มีน้ำหนักมากกว่าที่นอนชนิดอื่นๆ และมีราคาสูง
7. ที่นอนเย็น
ที่นอนเย็น คือที่นอนที่มีคุณสมบัติในการระบายอากาศได้ดีเยี่ยม ทำให้ที่นอนไม่อมความร้อน ส่งผลให้สัมผัสเย็นสบายกว่าที่นอนทั่วไป โดยที่นอนเย็นอาจใช้วัสดุต่างๆ เช่น ใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติในการระบายอากาศได้ดี หรือเจลเย็นที่ช่วยดูดซับความร้อนออกจากร่างกาย
- ข้อดีของที่นอนเย็น : ลดอาการปวดเมื่อยโดยเฉพาะคอและหลัง ช่วยประหยัดพลังงานลดการใช้แอร์ได้มากกว่า
- ข้อเสียของที่นอนเย็น : ราคาสูงกว่าที่นอนทั่วไปและต้องดูแลเป็นพิเศษ
การดูแลรักษาและทำความสะอาดที่นอน
การดูแลรักษาที่นอนอย่างถูกวิธีและดูแลเรื่องสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้งานที่นอนให้ยาวนานขึ้น และทำให้คุณนอนหลับสบายทุกคืน คุณสามารถดูแลได้ด้วยวิธีดังนี้
- พลิกกลับด้านที่นอนและสลับหัวท้ายทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อกระจายแรงกดทับที่สม่ำเสมอ
- ใช้ผ้าคลุมกันเปื้อนปูที่นอน เพื่อป้องกันการเกิดคราบสกปรก และช่วยป้องกันไรฝุ่นและเชื้อโรค
- ดูดฝุ่นที่นอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดไรฝุ่นและฝุ่นละออง
- เปิดหน้าต่างห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อช่วยให้ที่นอนแห้งและระบายอากาศได้
- ไม่ควรใช้น้ำในการทำความสะอาดที่นอน เพราะเสี่ยงทำให้เกิดเชื้อราได้
- หากที่นอนมีคราบสกปรก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดออก แล้วซับให้แห้งทันที
- หากที่นอนมีคราบที่รุนแรง เช่น คราบเลือด คราบปัสสาวะ ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่นอนโดยเฉพาะ ตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์
- ไม่ควรนำที่นอนไปตากแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากอาจทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพได้
- ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงขึ้นไปนอนบนที่นอน เนื่องจากอาจทำให้ที่นอนสกปรก และเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่นและเชื้อโรค
สรุปบทความ
และทั้งหมดนี้ คือ ความแตกต่างของที่นอนแต่ละประเภทแต่ละชนิด รวมไปถึงข้อดีและข้อเสีย ที่ทางเว็บไซต์ของเราได้รวบรวมนำเอามาเป็นข้อมูลให้แก่ผู้อ่านที่กำลังมีความต้องการที่จะซื้อที่นอน ซึ่งคุณผู้อ่านสามารถที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปเปรียบเทียบและประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อที่นอนได้ และอย่างที่เราได้มีการเกริ่นไปแล้วในตอนต้นว่า ที่นอนเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพของการนอน เพราะฉะนั้นอย่าลืมที่จะใส่ใจและพิถีพิถันในการเลือกซื้อโดยเด็ดขาด
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.