วิธีจัดการตัวเอง เมื่อรายได้ลดลง
หลายคนอาจต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลงแบบไม่ทันตั้งตัว แต่หนี้ที่จะต้องชำระคืนและรายจ่ายต่าง ๆ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม จะอยู่รอดในช่วงเวลาแบบนี้ได้ยังไง ลองทำวิธีนี้ดู อาจช่วยจัดการเงินให้ผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้
1. ทำ “แผนใช้เงิน” เพื่อจัดสรรเงินที่มี
เมื่อรายได้ลดลง เราก็ต้องจัดสรรเงินให้พอใช้ โดยการทำ “แผนใช้เงิน” อาจจะต้องเขียนหรือทำบันทึกออกมาอย่างจริงจัง เพื่อให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วมีรายรับและรายจ่ายมากแค่ไหน ซึ่งแผนการใช้เงินที่ดีจะต้องมีรายรับมากกว่าหรือเท่ากับรายจ่าย และแบ่งรายจ่ายออกเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจน
เมื่อเราทำแผนใช้เงินออกมาแล้ว เราก็ต้องใช้จ่ายตามที่กำหนดไว้ หากใช้ส่วนไหนเกิน ก็ให้ลดรายจ่ายส่วนอื่น เพื่อไม่ให้รายจ่ายมากเกินรายรับ ถ้ามีเวลา ก็ลองทำแผนใช้เงินล่วงหน้าสัก 3 เดือนเพื่อรองรับเหตุการณ์ในอนาคต
2. ปรับตัวและตัดใจจากสิ่งที่ไม่จำเป็น
พอเราทำแผนใช้เงินแล้วพบว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ ก็ถึงเวลาที่ต้องตัดใจ แต่รายจ่ายของเรามีมากมาย ควรจะตัดใจจากรายจ่ายไหนดี จะให้ตัดทั้งหมดก็คงไม่ไหว รายจ่ายของเราแบ่งออกได้ 2 แบบ
แบบที่ 1: รายจ่ายจำเป็น เป็นรายจ่ายที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ถ้าไม่จ่ายอาจกระทบถึงสุขภาพหรือคุณภาพชีวิต เช่น อาหาร ยารักษาโรค รายจ่ายประเภทนี้ตัดไม่ได้แต่หาทางเลือกเพื่อลดรายจ่ายได้ เช่น แทนที่จะกินอาหารมื้อหรู ก็เลือกกินอาหารราคาธรรมดาที่มีสารอาหารครบ
แบบที่ 2: รายจ่ายไม่จำเป็น เป็นรายจ่ายที่ไม่กระทบต่อการดำรงชีวิตหากไม่จ่าย แต่อาจทำให้มีความสุขน้อยลง รายจ่ายประเภทนี้สามารถทยอยลดหรือตัดออกได้ เช่น ลดค่ากาแฟ เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกซื้อหวย
หลังจากนั้น เราก็นำ “แผนใช้เงิน” มาดูว่ามีรายจ่ายไหนไม่จำเป็น หรือรายจ่ายจำเป็นไหนที่สูงเกินไป แล้วเลือก ลด หรือตัดออก แต่ความจำเป็นหรือไม่จำเป็นของคนเราอาจไม่เหมือนกัน รายจ่ายบางอย่างอาจจำเป็นต่อคนบางคน แต่อาจไม่จำเป็นต่ออีกคน เช่น รถยนต์อาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนที่มีอาชีพขับรถแท็กซี่หรือตัวแทนขายสินค้า แต่อาจไม่จำเป็นสำหรับคนที่ทำงานใกล้บ้าน คนที่จะตัดสินได้ดีที่สุดว่าอะไรคือสิ่งจำเป็น อะไรคือสิ่งไม่จำเป็น ก็คือตัวเราเอง
3. จัดการภาระหนี้
ถึงแม้รายได้จะลดลง แต่หนี้ก็ยังคงต้องจ่าย ถ้าทำแผนใช้เงินแล้วมีเงินพอจ่าย ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจอว่าเงินไม่พอจ่ายหนี้ ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
1) จดรายการหนี้ทั้งหมดที่มี โดยใช้ตารางภาระหนี้เพื่อให้รู้ว่าเรามีหนี้อะไรบ้าง อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ กำหนดจ่ายเมื่อไหร่
2) เช็กรายการหนี้ทั้งหมดว่า มีหนี้ที่เข้าเกณฑ์การช่วยเหลือตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของภาครัฐหรือไม่ หากใช่ ให้ติดต่อสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อขอเข้าร่วมมาตรการ
3) หากได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการแล้ว แต่เงินที่มี ก็ยังไม่พอจ่ายหนี้ หรือไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ ให้ทำหนังสือไปยังสำนักงานใหญ่ของเจ้าหนี้เพื่อขอความอนุเคราะห์ลดจำนวนเงินผ่อนต่อเดือนหรือขยายระยะเวลาการผ่อน โดยระบุจำนวนเงินที่สามารถผ่อนได้หรือระยะเวลาที่ต้องการขยายให้ชัดเจน
พร้อมทั้งระบุความจำเป็นที่ต้องขอความอนุเคราะห์ เพื่อให้สถาบันการเงินพิจารณา เมื่อสถาบันการเงินพิจารณาและมีหนังสือตอบกลับ ต้องอ่านเงื่อนไข อัตราดอกเบี้ย และจำนวนที่ต้องผ่อนชำระ รวมไปถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วนก่อนลงนามตกลง ทั้งนี้ การติดต่อสถาบันการเงินอาจใช้เวลา จึงควรวางแผนติดต่อสถาบันการเงินแต่เนิ่น ๆ หากติดต่อแล้ว ไม่มีความคืบหน้าหรือติดต่อไม่ได้ สามารถใช้ช่องทาง “ทางด่วนแก้หนี้” เพื่อติดต่อสถาบันการเงินได้อีกทางหนึ่ง
4. หาทางหารายได้เพิ่ม
เมื่อรายได้ลด ใครต่อใครก็มักจะบอกให้หารายได้เพิ่ม แต่การหารายได้เพิ่ม อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะหารายได้เพิ่มยังไง อาจจะลองขายของที่ไม่ใช้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของใช้ส่วนที่เกินความจำเป็น หรือของสะสมที่พอจะแลกเปลี่ยนเป็นเงิน มาใช้จ่ายหรือลดภาระหนี้ได้ และหากลำบากจริง ๆ ก็อาจต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่ พอเริ่มมีรายได้ ค่อยเก็บเงินซื้อใหม่
5. ตรวจสอบสวัสดิการและมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ
ถ้ายังหารายได้เพิ่มไม่ได้ ก็ลองเช็กสวัสดิการที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม หรือมาตรการพิเศษที่รัฐออกมาช่วยเหลือในช่วงวิกฤติ เพื่อดูว่าเราเข้าเกณฑ์ตามมาตรการนั้นหรือไม่ หากเข้าเกณฑ์ ให้ติดต่อหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อขอรับการช่วยเหลือ
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.