“PTTEP”เดินหน้า CCS นำร่องสู่เป้า Net Zero ชู 4 หัวใจหลักเก็บคาร์บอนระยะยาว

     นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP27) โดยมีเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ในปี ค.ศ. 2065 

     PTTEP มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการปัญหาก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน จึงได้ตั้งเป้าหมายและแผนการดำเนินงานของบริษัท เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ผ่านแนวคิด EP Net Zero 2050 โดยหนึ่งในแผนงานที่สำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียม ด้วยการพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่หลายประเทศวางแผนให้เป็นเทคโนโลยีหลักในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ในปริมาณมากกว่าเทคโนโลยีแบบอื่น

     ทั้งนี้หากประเทศไทยไม่เร่งใช้วิธีการกักเก็บคาร์บอน การจะก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero คงยาก เนื่องจากปัจจุบันเฉพาะภาคอุตสาหกรรม จำนวนการปล่อยคาร์บอนปี 2022 สูงถึง 250 ล้านตัน จากปริมาณการปล่อยทั้งประเทศ 320 ล้านตัน โดยข้อมูลจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้ศึกษาและพบว่า การปลูกป่า 1 ล้านไร่ สามารถเก็บคาร์บอนได้ 2 ล้านตัน หากจะลดทั้งหมดจะต้องปลูกป่าถึง 160 ล้านไร่ แต่ประเทศไทยทั้งประเทศมีป่า 321 ล้านไร่ ซึ่งต้องเปลี่ยนประเทศครึ่งประเทศเป็นป่า ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อีกทั้งการปลูกป่าเพียงอย่างเดียวยังไม่จบ เพราะต้องมีการบำรุงรักษาจึงต้องอาศัยการแยกคาร์บอนออกมาจัดเก็บ

     "ประเทศไทยมีการใช้พลังงานในภาคขนส่งและการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 75% แม้ภาครัฐจะใช้นโยบายที่จะขยับไปพลังงานหมุนเวียน แต่ต้นทุนการสร้างพลังงานที่ผลิตไฟฟ้ายังสูง ดังนั้น ระหว่างการเปลี่ยนผ่านพลังงานนั้น การใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าในไทยยังสำคัญ แต่จะต้องทำให้สะอาดมากขึ้น ด้วยวิธีการแยกคาร์บอนไปจัดเก็บ" 

     นายมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า 4 สาระสำคัญสำหรับเป้าหมายการกักเก็บคาร์บอนระยะยาวของไทย คือ 1. Technology & Cost ซึ่งปัจจุบันแเทคโนโลยี CCS ยังมีต้นทุนสูง 2. Economic & Incentive หากจะส่งเสริมตลาดที่ยั่งยืน จะต้องสร้างเศรษฐกิจและแรงจูงใจที่มากพอ โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น นโยบายคาร์บอนเครดิต 3. Environment & Public การลงทุน CCS สิ่งที่จะตามมาคือ สิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อสังคม 4. Regulation & Liability ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่ยังไม่มีความชัดเจน

     โดย PTTEP จะใช้ CCS เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญสำหรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย โดยดำเนินการผ่านโครงการ Eastern CCS จะสามารถช่วย Decarbonize กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น โรงไฟฟ้า โรงแยกก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และ เหล็ก เป็นต้น โดยพื้นที่ที่มีศักยภาพอยู่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

     ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจำเป็นต้องมีการสำรวจทางธรณีวิทยาอย่างจริงจัง รวมถึงการเจาะหลุมสำรวจเพื่อศึกษาความเหมาะสมของชั้นหินปิดทับ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มาก มีความเสี่ยงสูง และเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ทำให้ต้องมีกฎหมายเพื่อสนับสนุนการลงทุน และ ระเบียบข้อบังคับที่ชัดเจน

     ทั้งนี้ โครงสร้างทางธรณีวิทยาของประเทศไทย มีความสามารถในการอัดกลับและกักเก็บคาร์บอนแตกต่างจากประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นการกักเก็บใน Depleted Reservoirs หรือ Saline Aquifers ดังนั้น PTTEP จะผลักดันโครงการนำร่องการกักเก็บคาร์บอนในแหล่งอาทิตย์ (Arthit CCS) โดยวางแผนในการกักเก็บคาร์บอนทั้งหมดจากกระบวนการผลิตต้นน้ำ (Zero-flaring) โดยต้องใช้หลุมอัดกลับอย่างน้อย 7 หลุมที่ เบื้องต้นใช้เงินลงทุนสูงราวประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ 

     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นโครงการนำร่อง สามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ดังนั้น ความชัดเจนด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึง Incentivized Mechanism ต่างๆจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เบื้องต้น PTTEP ตั้งเป้าโครงการนำร่องที่แหล่งอาทิตย์จะเริ่มจัดเก็บที่ 1 ล้านตันต่อปี จึงหวังว่าเมื่อภาครัฐเห็นความสำคัญถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้

     สำหรับ เทคโนโลยี CCS ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญสำหรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ ของสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรแห่งชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP) โดยกำหนดให้ CCS มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยของประเทศไทย PTTEP จึงตั้งเป้าหมายให้โครงการ CCS ช่วยกักเก็บก๊าซคาร์บอนไคออกไซค์ ประมาณ 40 ล้านตันต่อปี ในปี ค.ศ.2050 และเพิ่มเป็น 60 ล้านต้นต่อปี ในปี ค.ศ.2065

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.