“ไทยเบฟ” ทุ่มงบ 7,000 ล้าน รุกต่างประเทศ เจาะตลาดเบียร์กัมพูชา

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยเบฟ เปิดเผยว่า ไทยเบฟวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ไม่รวมงบในการซื้อและควบรวบกิจการ (M&A) 

โดยงบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท ใช้สำหรับสร้างโรงงานผลิตเบียร์ในกัมพูชา เนื่องจากเห็นการเติบโต และกัมพูชา เป็น 1 ใน Strategic Market ทำให้ตัดสินใจเข้าไปลงทุนดังกล่าว จากเดิมที่เป็นรูปแบบการส่งออกไปยังตลาดกัมพูชา นอกจากนี้ ได้ศึกษาการเข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว เพิ่มเติมภายในปี 2567 ซึ่ง สปป.ลาว และกัมพูชา มีส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อไปยังเวียดนาม

ส่วนการเข้าไปขยายตลาดในจีน เป็นการเข้าไปเพื่อเรียนรู้ในหลายๆ เรื่อง ทั้งสภาพตลาด การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โลจิสติกส์ รูปแบบการบริหารจัดการ โดยยังไม่มีการลงทุนในรูปแบบ M&A แต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบันได้ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น ทำธุรกิจสุราพรีเมียม ในมณฑลกวางตุ้ง เพิ่มเติมจากเดิมที่มีโรงงานสุราขาวอยู่ในมณฑลยูนนาน

ทั้งนี้ ไทยเบฟมุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์ในการเสริมแกร่งให้กับตราสินค้าและสถานะในตลาดสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ในขณะเดียวกัน ยังดำเนินมาตรการบริหารอัตรากำไรอย่างรอบคอบ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น พร้อมทั้งรักษาผลกำไรสุทธิและส่วนแบ่งตลาด 

ขณะที่ยังคงแผนการนำธุรกิจเบียร์ (BeerCo) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยรอดูสภาวะตลาดที่เหมาะสม

นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา กล่าวว่า ธุรกิจสุรายังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและผลกำไรที่มั่นคง ในประเทศไทย โดยได้วางแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจตั้งแต่ก่อนที่ตลาดจะกลับมาเปิดอีกครั้ง รวมถึงการเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าหลักของเราอย่างรวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม และเบลนด์ 285 ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยความพยายามดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มสามารถคงตำแหน่งผู้นำในตลาดสุราขาวและสุราสีไว้ได้

ส่วนในเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ ยังคงรักษาตำแหน่งวิสกี้อันดับหนึ่งไว้ได้แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาด โดยคาดว่าอุปสงค์ต่อสินค้าและการเติบโตของธุรกิจจะยังคงดีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาสร้างโรงกลั่นอีก 1 โรง 

สำหรับตลาดต่างประเทศ เดินหน้าขยายกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมและเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการจำหน่ายในต่างประเทศ ผ่านการเข้าซื้อธุรกิจลาร์เซน คอนญัก (Larsen Cognac) และคาร์โดรนา ดิสทิลเลอรี่ (Cardrona Distillery) โดยการเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกของกลุ่มในการเข้าสู่ตลาดคอนญักและตลาดสุราโลกใหม่ (New World Spirits) ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มกลุ่มตราสินค้าสุราที่เป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างมาก

นายทรงวิทย์ ศรีธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขยายการเติบโตของธุรกิจเบียร์ประเทศไทยและก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาด จึงมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การมุ่งมั่นเสริมแกร่งทางการค้าให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ช้างผ่านกลยุทธ์ “Commercial Leadership” โดยเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคผ่านแคมเปญต่างๆ ที่ต่อยอดมาจากความรักที่ผู้บริโภคมีต่อตราสินค้า การถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน “มิตรภาพ ฟุตบอล และดนตรี” ช่วยเสริมสร้างความใกล้ชิดและการมีส่วนร่วมไปจนถึงจุดขาย 

นอกจากนี้ ยังได้ทำงานร่วมกับกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในกลุ่มบริษัทไทยเบฟ เพื่อผนึกกำลังในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายการกระจายสินค้าและช่องทางการจำหน่าย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงตราสินค้า

ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าผ่านกลยุทธ์ “Winning Brand Portfolio” และพัฒนาสินค้าที่โดดเด่นภายใต้ตราสินค้าช้าง รวมทั้งได้ดำเนินกลยุทธ์ “Cost Competitiveness” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การลดต้นทุนในการผลิตเบียร์ การจัดสรรทรัพยากรในห่วงโซ่อุปทาน การลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย และการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตซึ่งส่งผลให้มีอัตรายอดขายต่อจำนวนพนักงาน (Net Sales to Headcount ratio) ที่ดีขึ้น

นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซาเบโก้ กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม สร้างทีมขายมืออาชีพ และเสริมแกร่งกลุ่มตราสินค้า Winning Brand Portfolio โดยได้ดำเนินกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อยกระดับ Bia Saigon ในฐานะความภาคภูมิใจของเวียดนาม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโดยรวม ซาเบโก้มุ่งเน้นการขยายธุรกิจ พัฒนากลุ่มตราสินค้า และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง

ซาเบโก้เสริมสร้างความเป็นเลิศด้านการผลิตและใช้มาตรการบริหารต้นทุนที่เข้มงวดเพื่อบริหารค่าใช้จ่ายและรักษาผลกำไรของบริษัท อีกทั้งยังมุ่งมั่นเดินหน้าผนวกเครือข่ายโรงเบียร์ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและการบริหารต้นทุน ด้วยแผนงาน SABECO 4.0 ซึ่งได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน 

นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้เร่งเดินหน้าขยายการเติบโต ภายใต้ 3 แนวทางสำคัญ คือ การสานพลังของแบรนด์ปั้นพอร์ตสุดแกร่ง (Brand Portfolio Management) การเร่งสปีดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในทุกมิติ (Speed for the Growth) และการเดินหน้าขยายตลาด (Expand to New Market)

นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทดำเนินกลยุทธ์เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจอาหาร ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาใหม่ และเพิ่มการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิม รองรับการที่ผู้บริโภคชาวไทยกลับมารับประทานอาหารนอกบ้านร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูงกันอีกครั้ง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ในขณะนี้การบริโภคภายในร้านเริ่มกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19

โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอาหารในปีนี้ คือ การเจาะตลาดให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มจำนวนสาขาร้านอาหารของกลุ่มไทยเบฟ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงร้านอาหารและผลิตภัณฑ์โปรดได้โดยง่ายในทุกพื้นที่ ปัจจุบันไทยเบฟมีร้านอาหารทั้งหมด 771 ร้านในประเทศไทยแบ่งเป็น KFC 440 สาขา โออิชิ 278 สาขา และอื่นๆ 53 สาขา ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเปิดเพิ่มทั้งสิ้น 43 สาขา

บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการเติบโตของยอดขายของร้านสาขาเดิมด้วยการรังสรรค์เมนูใหม่และจัดกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลายสำหรับทุกร้านอาหาร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการบ่อยครั้งขึ้น ในขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นเสริมสร้างพื้นฐานของธุรกิจอาหารให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านบุคลากร การดำเนินงาน เทคโนโลยี และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน พร้อมทั้งส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนผ่านการดำเนินโครงการลดขยะอาหารจากร้านในเครือ เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดขยะอาหาร รวมถึงโครงการบริจาคอาหารส่วนเกินเพื่อช่วยเหลือชุมชนต่างๆ อีกด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (ต.ค.2565-มิ.ย.2566) ไทยเบฟมีรายได้จากการขาย 215,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 

โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) อยู่ที่ 37,765 ล้านบาท ลดลง 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แม้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ EBITDA ลดลงดังกล่าว

กลุ่มธุรกิจสุราในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 93,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ปริมาณขายรวมจะลดลง 3.5% จากปีก่อน โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 23,763 ล้านบาท 

ธุรกิจเบียร์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขายรวม 93,262 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าปริมาณขายรวมจะลดลง 5.2% ส่วน EBITDA ลดลง 19.8% เป็น 10,783 ล้านบาท

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 14,822 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 8.7 โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 1,773 ล้านบาท

ธุรกิจอาหาร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566  มีรายได้จากการขาย 14,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน-ขณะที่ EBITDA ลดลง 8.4% เป็น 1,446 ล้านบาท

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.