40 หุ้นเด่น เลี่ยงตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/66 เผชิญจุดต่ำสุดก่อนฟื้น

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนไตรมาส 4 ว่า ประเมินเป็นไตรมาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเจอจุดต่ำสุดชั่วคราวในช่วงแรก ก่อนที่หลังจากนั้นจะทยอยปรับตัว Sideways up ขึ้นได้ 

โดยมีปัจจัยหนุนหลัก 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.การสิ้นสุดรอบการปรับลดประมาณการของบริษัทจดทะเบียนไทย และอาจมีความเป็นไปได้ในการปรับประมาณการเพิ่มในกลุ่ม Oil & Gas, กลุ่มอิงกับการบริโภคภายในประเทศ กลุ่มส่งออก และกลุ่มท่องเที่ยว 2.การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยไว้ที่ระดับ 2.50% ซึ่งในอดีตแล้ว มักนำมาสู่การปรับตัวที่ดีของ SET Index หลังจากนั้น 

3.เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป จากแรงส่งทางด้านการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวดีขึ้น และ 4.เศรษฐกิจโลกที่แนวโน้มทั่วไปยังคงดีอยู่ และค่อนข้างมั่นใจว่าในไตรมาส 4/2566 จะยังไม่มีสัญญาณความเสี่ยงใดๆ เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยออกมา 

ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสที่จะปรับตัว Bottom out ได้ในช่วงปลายเดือน ต.ค.2566 ต่อเนื่องเดือน พ.ย.2566 จากการเข้าใกล้การประชุม Fed ซึ่ง ณ ขณะนั้น ตลาดน่าจะมีการ Price in ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยในระดับสูงแล้ว หรือหากยัง Price in ไม่หมด ก็คาดว่าในที่ประชุม Fed รอบนี้ จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายของวงจรนี้ได้ หากเป็นไปตามที่คาดจริง ประเมินว่าดัชนีหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัว Relief rally ขึ้นได้ หลังจากนั้นราว 1-3 เดือน        

ด้านความเสี่ยงที่จำเป็นต้องติดตามในช่วงถัดไป คือ แรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจพุ่งขึ้นเกินกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางหลายแห่ง หากราคาโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นคล้ายกับตอนช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมื่อปีก่อน หากเกิดขึ้น อาจทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกหันกลับมาใช้การขึ้นดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นเงินเฟ้ออีกครั้ง ซึ่งก็จะเป็นแรงกดดันต่อภาพของตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่งได้

ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะที่ SET Index กำลังซื้อขายอยู่บริเวณต่ำกว่า 1,500 จุด ในการทยอยเข้าสะสมหุ้นได้ เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation เริ่มมี Upside จากระดับดัชนีเป้าหมายในกรณีดีสุดที่ 1,515 จุด และหากยิ่งดัชนีลงลึกไปใกล้ระดับ 1,470 จุด มองเป็นโซนในการเข้าซื้อที่น่าสนใจมาก เนื่องจากจะเทียบเท่าเท่ากับระดับ PBV ที่ 1.4x ซึ่งในอดีตแล้ว มักเป็นระดับที่ SET มีเสถียรภาพในทุกๆ ครั้งที่ดัชนีมีการปรับตัวลง

บล.ทรีนีตี้ แบ่งกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำไตรมาส 4 ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้ง Consumer staple และ Grassroot consumption อาทิ CPALL, CPAXT, BJC, CRC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME, TNP, MENA 

2.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง ภาคการผลิตทั่วโลกที่ฟื้นตัว ภาวะ De-stocking ที่ผ่อนคลายลงและเริ่มกลับกลายเป็น Re-stocking เลือกกลุ่มส่งออก อาทิ KCE, HANA, AAI, ITC, CPF, BTG, GFPT, TU รวมถึงกลุ่มเดินเรือและ Logistics ที่ได้ประโยชน์จากปริมาณการค้าขายและการขนส่งทั่วโลกที่กลับมาคึกคักมากขึ้น อาทิ PSL, RCL, III, LEO, SJWD, WICE

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (25 ก.ย.) ปรับตัวลดลง 10% ซึ่งถือว่า Underperform เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของภาพรวมตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% และค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 6%

โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่อง (YTD) 154,956 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่กดดันตลาด คือ ความไม่ชัดเจนทางการเมืองหลังเลือกตั้งเสร็จเมื่อ 14 พ.ค.2566 ภาคส่งออกที่หดตัว และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ช้ากว่าคาด เพราะปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว รวมถึงตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/2566 ที่กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 37%   

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ ฝ่ายวิจัยให้เป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1,650 จุด โดยอิงกับ P/E 18.8 เท่า และเป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุด โดยปัจจัยที่สนับสนุน คือ การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่คาดว่าจะพลิกมาเป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลัง และเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยวและบริโภค รวมถึงความคาดหวังว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะโตขึ้น จากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลชุดใหม่ 

อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ถือเป็นความหวัง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความกังวลและความท้าทาย จากกรณีที่เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค การบริหารฐานะการคลัง จากการใช้นโยบายประชานิยมขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตาม นอกจากนั้นยังมีประเด็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ถ้ามีความรุนแรงมาก ก็อาจทำให้ดัชนีไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้

นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงการลงทุนในไตรมาส 4/2566 พิจารณาคัดสรรหลักทรัพย์จากอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนระยะยาว โดยเกณฑ์ในการคัดสรรหุ้น Top Buy เลือกจากการเป็นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรม เป็นบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดี งบดุลมีความแข็งแกร่ง มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตของกำไรสุทธิเป็นบวก และการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ราคายังต่ำ มีส่วนต่างเพิ่มที่น่าสนใจ

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายภาครัฐ และมีแนวโน้มได้รับผลตอบแทนที่ดีในส่วนของภาคการบริโภคในประเทศ จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและนโยบายการกระตุ้นจากภาครัฐ หลักทรัพย์ที่ได้รับปัจจัยบวกและพื้นฐานดี ในกลุ่มพาณิชย์ แนะนำ CPALL, CRC กลุ่มธนาคารพาณิชย์ BBL, KTB ด้านการท่องเที่ยว มีการฟื้นตัวชัดเจน ทั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หลักทรัพย์แนะนำ AOT, MINT

กลุ่มพลังงาน ที่คาดราคาน้ำมันจะปรับขึ้น จากการพยายามลดอุปทานโดยกลุ่มโอเปกพลัส หลักทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์คือ PTTEP, TOP, BCP และยังมีหลักทรัพย์ที่แนะนำใน กลุ่มสื่อสาร คือ ADVANC ด้านกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แนะนำ CK กลุ่มอาหาร แนะนำ CPF, TU กลุ่มอสังหา AP, CPN, AMATA และกลุ่มการแพทย์ คือ BDMS ,EKH

ด้าน นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง หรือ KTX กล่าวว่า มุมมองการลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 อยู่ภายใต้นิยาม "THAI ECONOMY TO HITS AIR POCKET" หรือ การตกหลุมอากาศของเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงิน โดยคำนึงถึงภาพอนาคตว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับศักยภาพเป็นสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม ด้วยผลพวงของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้การส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดมาก ส่งผลให้ GDP ไทยในครึ่งแรกของปี 2566 เติบโตเพียง 1.8% YoY อีกทั้งดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Business Sentiment Index) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมการผลิต (PMI Manufacturing) กลับเข้าสู่โซนหดตัวในไตรมาส 3/2566 

ขณะเดียวกัน การส่งออกยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า แม้มีความพยายามในการดำเนินนโยบายวีซ่าฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวใกล้เคียงเป้าหมายที่ ธปท. ตั้งไว้ แต่ด้วยรายได้ต่อคนของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 เป็นนัยว่า ไทยยังอาจต้องเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 2.3 แสนล้านบาท หรือ 1.4% ของ GDP อีกทั้งการดำเนินนโยบายของ ธปท. ที่ยังคงปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนทำให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Real rate) ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1.6% ยังอาจเป็นปัจจัยเร่งให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น 

นอกจากนี้ แนวทางของรัฐบาลใหม่ที่มีแนวโน้มดำเนินนโยบายขาดดุลมากขึ้น อาจส่งผลให้ระดับหนี้สิน ต่อ GDP ในระยะ 4 ปีข้างหน้า (ตามวาระของรัฐบาล) เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 65% ต่อ GDP จนอาจเป็นความเสี่ยงที่ไทยอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ 

โดยความกังวลดังกล่าวนำไปสู่การเทขายพันธบัตรไทย โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 10 ปี ส่งผลให้ KTX ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ระยะ 12 เดือนข้างหน้าสู่ระดับ 3.95% ด้วยอัตราผลตอบแทนดังกล่าว อยู่ในฐานะอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง จึงส่งผลลบต่อการประเมินมูลค่าดัชนีตลาดหุ้นไทย โดย KTX ปรับเป้าหมาย SET ลงมาที่ 1,477 จุด ด้วยกรอบเคลื่อนไหว 1,384-1,584 จุด 

นายณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า แนะนำเพิ่มน้ำหนัก (Overweight) หุ้น Global play เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเลือกหุ้นปลายน้ำ (Downstream) อย่าง SPRC และ TOP ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการกลั่นน้ำมัน เพื่อรับแนวโน้มการทรงตัวระดับสูงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี 2566 จากภาวะอุปทานตึงตัว 

รวมไปถึงหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว ได้แก่ SAWAD รับระดับการตั้งสำรองหนี้สูญฯ ที่มีแนวโน้มปรับลงสู่ระดับปกติ, AMATA รับอานิสงส์เชิงบวกจากการย้ายฐานการผลิตจากจีน โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนตึงเครียดมากขึ้น และ CPN รับนโยบายหนุนท่องเที่ยวของภาครัฐในช่วง High-season

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.