อนาคต "ทองคำ" ไปไกลแค่ไหน ? เจาะเกมซื้อ สั้น-กลาง-ยาว

      "จากนี้จนถึงเดือน พ.ย. ปีนี้ ราคาทองยังคงไซด์เวย์ และหากราคาปรับตัวลดลง มองว่าไม่ลงลึก เพราะยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าทองคำยังไปได้อีกไกล อีกทั้งแต่ละประเทศแห่ซื้อทอง โดยเปลี่ยนจากดอลลาร์มาเป็นทอง นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมทองไม่ลง ปีที่แล้วธนาคารกลางซื้อทอง 2,200 ตัน ปีนี้ซื้ออีกกว่า 1,000 ตัน นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาไม่ย่อแรง" นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) และในฐานะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมค้าทองคำ กล่าว

      แนวโน้มราคาทองคำคาดแกว่งไซด์เวย์รอจนกว่าผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย.นี้

     ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกหนึ่งครั้งที่ 0.25% โดยคาดว่าจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย

     จากนั้นรอดูสัญญาณว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงไหน ที่สำคัญต้องลดดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ถึงจะเห็นปัจจัยบวกชัด เพราะทันทีที่มีการลดดอกเบี้ยจะช่วยหนุนราคาทองคำกลับตัวขึ้นได้ 

     โดยมองระดับราคาสูงสุดที่เคยขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 2,000-2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่อาจต้องรอดูว่าจะมีปัจจัยอื่นๆเข้ามากดดันหรือไม่ ขณะที่หากราคาทองคำย่อตัวลงมา จะสังเกตุได้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ทองลงมาแตะระดับ 1,870-1,880 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ มีแรงรับซื้อ ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่ำของปี

     "นักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้น หากราคาทองยืนแถว 1935-1950 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์เป็นจุดขายทำกำไร แต่หากย่อลงมาแถว 1880 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์แนะทยอยสะสม ส่วนลงทุนระยะยาวรอใกล้ประชุมเฟดเพราะหากขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายเชื่อว่าราคาทองมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้"

 

รัฐบาลใหม่หนุนตลาดทองคำแค่ไหน ?

      ยังไม่เห็นภาพชัดแต่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นนักธุรกิจ ดังนั้นมุมมองน่าจะออกไปในทางธุรกิจมากขึ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและมีโอกาสที่จะทำให้วอลุ่มมีมากขึ้น

 

หวังนโยบายกระตุ้นด้านไหน ?

     ธุรกิจทองคำในไทยจะแข็งแกร่งได้ต้องมาจากการสนับสนุนจากรัฐบาล ยกตัวอย่างรัฐบาลประเทศสิงคโปร์ ปี 2012 มีนโยบายที่จะทำให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลาง(Hub) จึงทำทุกอย่างที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถยืนได้และสามารถทำการค้าเสรีได้ทั่วประเทศ 

     ซึ่งประเทศไทยมีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี(Free Trade Area : FTA) และ ข้อตกลงกับเซาท์อีสเอเชีย แต่บางจุดไม่นับรวมทองคำ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทองคำอยู่ในสนธิสัญญา FTA หรือสนธิสัญญาของเซาท์อีสเอเชียเพื่อที่สนับสนุนทองคำให้ไปได้ดีกว่านี้และสนับสนุนจิวเวลรี่เพื่อส่งออกได้ทั่วโลก เพราะแบบจิวเวลรี่ของไทยค่อนข้างแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกแต่ปัญหาเป็นเรื่องของภาษี 

 

แนวโน้มทองคำอีก 3-4 ปี

     ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการนำเข้าทองคำ เฉลี่ยราว 63 ตันต่อปี หากรวมนำเข้าและส่งออกเฉลี่ย 375 ตันต่อปี ซึ่งไทยติดอันดับ 7 ของเซาท์อีสเอเชีย แต่หากในสถานะผู้ใช้หรือผู้นำเข้า ไทยติดอันดับ 1 ในเซาท์อีสเอเชีย 

     ขณะที่ ภาพในอีก 3-4 ปีข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหนุนทองคำนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งในอดีตทองคำในไทยเคยนำเข้า 100 ตันต่อปีในปี 2012-2013 และ 150 ตันต่อปี ในปี 2014-2015 แต่ปัจจุบันลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจแย่ แต่ถ้าเศรษฐกิจสามารถฟื้นกลับมาเหมือนก่อนเกิดโควิด-19 เชื่อว่าภาพรวมจะมีแนวโน้มกลับมาสดใสอีกครั้ง อย่างน้อยน่าจะมีปริมาณอยู่ที่ 100 ตันต่อปีภายใน 3-4 ปีข้างหน้า หรือใกล้จุดสูงสุด 150 ตันต่อปี

 

อัพเดท..แผนเทรด SET

     YLG มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งในตอนนี้ YLG อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าจะสามารถเข้าตลาดได้ในช่วงปลายปี 2567

 

Thailand Gold Forum 2023 ครั้งแรกในไทย

     เมื่อวันที่ 7 ก.ย.66 ที่ผ่านมา YLG ได้ร่วมงานไทยแลนด์ โกลด์ ฟอรั่ม 2023(Thailand Gold Forum 2023) ซึ่งเป็นการจัดงานประชุมทองคำระดับโลกครั้งแรกในไทย โดยความร่วมมือจาก 3 หน่วยงานหลัก คือ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ, สมาคมค้าทองคำ และ World Gold Council ถือว่าเป็นงานที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำทั่วทุกมุมโลก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมทองคำ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

     ซึ่งทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ในอดีตการซื้อขายทองคำจะอยู่ในวงแคบๆ เช่น ธนาคารกลางของประเทศต่างๆที่เก็บทองคำไว้เป็นทุนสำรอง รวมถึงอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัจจุบันหน้าที่ของทองคำกระจายไปมากกว่าเดิม เพราะในอีกมิติหนึ่งคือเป็นสินทรัพย์ในการลงทุน

     ขณะที่ตลาดทองคำในประเทศมีการพัฒนาการต่อเนื่องด้วยความร่วมมือกันจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถือเป็นส่วนสำคัญที่พัฒนาตลาดทองคำจากในอดีตสู่ปัจจุบันทำให้ผลิตภัณฑ์การลงทุนทองคำในประเทศไทยมีความหลากหลายสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในประเทศ นั่นทำให้ตลาดทองคำในไทยเติบโตทั้งในแง่ของปริมาณความต้องการทองคำ และมูลค่าการส่งออกซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม

     สำหรับประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ที่ผ่านมา พบว่าการบริโภคทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ตันต่อปี  ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย เป็นรองแค่ จีน และ อินเดีย และเป็นอันดับ 7 ของโลก ปัจจุบันแม้คนไทยจะไม่ค่อยนิยมสวมใส่ทองคำในรูปของเครื่องประดับแล้ว แต่คนไทยหันมาซื้อขายทองคำผ่านระบบออนไลน์เพื่อลงทุนมากขึ้น  ทำให้ตลาดทองคำในประเทศยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง  

     ด้วยจุดแข็งที่สำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณความต้องการทองคำในประเทศที่แข็งแกร่ง, ความพร้อมด้านทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นประตูสู่ประเทศในอาเซียนที่มีปริมาณความต้องการทองคำในระดับสูงเช่นกัน, ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน, มาตรการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและสมาคมค้าทองคำ รวมถึงผู้ประกอบการในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทองคำ มั่นใจว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการค้าทองคำในประเทศไทย และยกระดับให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าทองคำในระดับภูมิภาคและนานาชาติ

รบ.ใหม่หนุน ศก.-ทองคำ

     นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวเช่นกันว่า แนวโน้มการซื้อขายทองคำในประเทศในระยะสั้นมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ และภาคการท่องเที่ยวของไทยปรับตัวดีขึ้นช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยเติบโต ช่วยให้การซื้อขายทองคำในตลาดกลับมาคึกคัก 

     แม้ว่านับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยอดซื้อทองคำ ลดลง 20-30% ทำให้การขายและจำนำทองคำลดลงเช่นกัน ส่วนรายงานตัวเลขที่ระบุว่าร้านค้าทองปิดไปกว่า 4,000 แห่งนั้นไม่มีมูลความจริง

     "ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยง และมั่นคง สะท้อนจากประเทศต่างๆเลือกใช้ทองเป็นเงินสำรอง ท่ามกลางสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หรือสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน"

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.