ทำไม ? SPALI เด้งกลับเร็ว แม้ศาลฯสั่งจ่ายชดเชยลูกบ้าน 6.2 ล้านบาท

     กลายเป็นประเด็นที่น่าจับตา หลังจากเพจสภาองค์กรของผู้บริโภค โพสต์ข้อความวานนี้(4 ก.ย.67)ระบุว่า "เมื่อช่วงต้นปีพ.ศ. 2566 สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค จำนวน 12 ราย กรณีโครงการบ้านจัดสรร "ศุภาลัย เบลล่า วงแหวน - พระราม2" การก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลน ใช้วัสดุไม่ได้คุณภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาบ้านชำรุดบกพร่อง พื้นทรุด ได้รับความเสียหาย สภาผู้บริโภคจึงรวบรวมข้อมูลหลักฐานและฟ้องคดี "บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI" แทนผู้บริโภคตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ส.ค.66

     จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 ส.ค.67 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้พิพากษาให้บริษัทฯ จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้บริโภคทั้ง 12 ราย เป็นมูลค่ารวม 6,208,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ของเงินที่ได้รับนับตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และให้บริษัทฯแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหลังฝนตก หรือช่วงน้ำทะเลหนุนบนถนนหน้าบ้านของผู้บริโภคทั้ง 12 ให้เสร็จ เนื่องจากศาลพิจารณาหลักฐานข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าบริษัทปรับระดับพื้นดินภายในโครงการ รวมถึงพื้นดินบริเวณบ้านของผู้บริโภคต่ำกว่าถนนสาธารณะหน้าโครงการ และก่อสร้างบ้านโดยมีระดับพื้นบ้าน ลานจอดรถ ระดับดินถมบ้าน และระดับชั้น 1 ของบ้านต่ำกว่าแบบก่อสร้างที่ได้ขอและรับอนุญาตจัดสรร ถือว่าการส่งมอบบ้านและที่ดินไม่เป็นไปตามสัญญาหลักเกณฑ์ในการจัดสรรที่ดินที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินสมุทรสาครได้อนุญาต

     อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของบริษัทแล้ว ไม่ได้มีพฤติการณ์ชัดเจนว่าบริษัทฯ มีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภค จึงไม่ได้กำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ นอกจากนี้ ศาลมีคำสั่งให้บริษัทฯจ่ายค่าใช้จ่ายและค่าป่วยการให้แก่สภาผู้บริโภค ในอัตราร้อยละ 25 ของค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องจ่ายให้แก่ผู้บริโภค หรือคิดเป็นเงินจำนวน 1,552,000 บาท

     หลังจากนี้บริษัทมีระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายใน 1 เดือนตามที่กฎหมายกำหนด หรืออาจมีการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ออกไปอีก หากบริษัทไม่ใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลก็จะถือเป็นที่สิ้นสุด ทั้งนี้ข้อเท็จจริงที่ถูกระบุในคำพิพากษาจะส่งผลไปยังบ้านที่ยังไม่ได้ฟ้องคดี หากจะฟ้องคดีสำหรับผู้บริโภครายอื่นๆที่เกิดความเสียหายในลักษณะเดียวกันและยังไม่ได้ฟ้องร้องจะอาศัยคำพิพากษาในคดีนี้เป็นแนวทางได้ แต่ต้องใช้สิทธิฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความไม่เกิน 10 ปี ตามกฎหมายต่อไป."

     6.2 ล้าน น้อยนิด..มหาศาล!!

     แม้ตัวเลขเงินที่ต้องจ่ายชดเชยให้ลูกบ้านดูเหมือนจะน้อยนิด เมื่อเทียบกับตัวเลขกำไรงวดครึ่งแรกของปี67 ทำได้ 2,212.54 ล้านบาท แต่หากมองให้ลึก เรื่อง "ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกบ้านและผู้ซื้อถือเป็นหัวใจสำคัญของผู้พัฒนาอสังหาฯ" ยิ่งเป็น "บริษัทมหาชน" ที่อยู่ในตลาดหุ้นด้วยแล้ว ยิ่งต้องยึดหลักความเป็นมืออาชีพ คุณภาพสินค้า และ ธรรมาภิบาล(Good Governance) เป็นสำคัญมิใช่หรือ!!!

     ที่สำคัญ "ปากต่อปาก" หากในเรื่องที่ดีย่อมต้องสร้างผลบวก แต่หากกระพือในทางร้ายย่อมส่งผลลบได้อย่างไม่น่าแปลกใจ ยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ เงินฝืด และคู่แข่งที่มีดีไม่แพ้กันในยุคนี้ หากโครงการไม่โดดเด่นจริง ยอดขายย่อมต้องมีสะเทือนกันบ้าง

     หากแต่...ดูจากราคาหุ้น "SPALI" ที่ซื้อขายในวันนี้(5 กันยายน 2567) ล่าสุด ณ เวลา 10.51 น. กลับมาบวก 0.30 บาท แตะระดับ 17.60 บาท คิดเป็น +1.73% มูลค่าการซื้อขาย 25.45 ล้านบาท ราคาขึ้นสูงสุด 17.60 บาท และลดลงต่ำสุด 17.30 บาท จากวานนี้ราคาหุ้นปิดที่ 17.30 บาท ดูเหมือนไม่ร้อนไม่หนาวต่อเรื่องดังกล่าวข้างต้นแต่อย่างใด

     เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น!!

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่ายังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้และสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ โดยปกติระดับกำไรต่อปีของ SPALI เฉลี่ย 5-7 พันล้านบาท ซึ่งค่าชดเชยเป็นจำนวนเงินไม่มาก อาจไม่มีนัยยะต่อตลาดฯ แต่ทั้งนี้ตลาดฯอาจยังกังวลเรื่องการเพิ่มค่าแรงในช่วงนี้ แต่ในไตรมาส 3/67 คาดว่า SPALI ยังทำยอดโอนและอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นได้ต่อเนื่อง แนะนำรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อย่อ ราคาพื้นฐาน 20.40 บาท

     ยิ่งร่วง ยิ่งน่าซื้อ     

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเด็นดังกล่าวมีผลกระทบในมุมที่จำกัดมากต่อผลประกอบการของบริษัท เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอยู่ในเพียงโครงการเดียวกันทั้งหมด นอกจากนี้ ตามคำสั่งศาลยังระบุว่า "พิจารณาจากพฤติการณ์ของบริษัทแล้ว ไม่ได้มีพฤติการณ์ชัดเจนว่าบริษัทมีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภค จึงไม่ได้กำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ" จึงไม่น่าจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ SPALI ในระยะยาว อีกทั้งคำสั่งศาลดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการของศาลชั้นต้น ซึ่ง SPALI ยังสิทธิยื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 

     อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าราคาหุ้น SPALI ในวันนี้อาจมีการปรับตัวลงรับ sentiment เชิงลบจากประเด็นข่าวดังกล่าว ขณะที่คาดกำไรในไตรมาส 3/67 จะเร่งตัวขึ้นเป็นจุดสูงสุดของปี เติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากการโอนคอนโดใน Backlog จำนวนมาก และคาดกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี67 จะเติบโต HoH อย่างชัดเจน ส่งผลให้คาดกำไรทั้งปี 67 ยังเติบโต 2.3%YoY และ Div. yield ที่ราว 8.4% จึงมองเป็นโอกาสในการเข้า "ทยอยสะสม" ราคาเป้าหมาย 22 บาท

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.