PTT พลิกเกมล่าท้าวิกฤติ เปิดรับพันธมิตรเสริมธุรกิจยกกลุ่ม

     โจทย์สำคัญของธุรกิจแบบเก่าที่อยู่มานาน ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของประเทศ อย่าง "บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT" จึงต้องเร่งปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เพื่อก้าวให้ทันกับโลกการแข่งขันและเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมเปิดรับความหลากหลายของธุรกิจแห่งอนาคต ที่สำคัญต้องบริหารต้นทุนและลดขนาดสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไร รวมถึงเปิดรับพันธมิตรเข้ามาเสริมแกร่ง 

"การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เดินหน้าพลังงานสะอาด ลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์คือสิ่งที่เราต้องดำเนินการ พร้อมกับการเปิดกว้างให้กับพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ใหม่ๆเข้ามาเสริมแกร่งธุรกิจในกลุ่ม ปตท. ด้วยหลักการคือ ปตท.ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นเท่าเดิม แต่ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท"ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT

     ธุรกิจเรือธง ?

     ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยเร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็นธุรกิจหลัก ซึ่ง ปตท. ถือว่าทำได้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทำควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจกและต้องปรับตัวพร้อมรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

     โดยธุรกิจ ต้นน้ำ และ พลังงาน จะต้องเร่งขยายแหล่งสำรวจและผลิต ร่วมกับพันธมิตรมีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา (OCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ส่วนงธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจะต้องเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นธุรกิจที่ลดการเกิดคาร์บอนให้กับกลุ่ม ปตท.

     ขณะที่ ธุรกิจปลายน้ำต้องปรับตัวและสร้างความแข็งแรงร่วมกับพันธมิตร เพื่อแสวงหาโอกาสสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกันเพิ่มเติม ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อเปิดกว้างให้เข้ามาลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเข้ามาถือหุ้น หรือ ซื้อหุ้นเพิ่มทุน ทั้งของ TOP , IRPC และ PTTGC

     ด้านธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก เดินหน้า Mobilty Partner ของคนไทย ทั้งการปรับพอร์ตการลงทุน และ ใช้โมเดลธุรกิจที่ลดการถือครองทรัพย์สิน (Asset Light) รวมถึงรักษาการเป็นผู้นำตลาด ควบคู่ธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยประเมินธุรกิจนี้ใน 2 มุม คือ 1.ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ และ 2.ปตท. มีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆได้และมีพันธมิตรที่แข็งแรง

     แนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้คือ

     1. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะต้องมีการควบรวมแบรนด์ต่างๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. และใช้ OR Ecosystem ที่มีอยู่ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์

     "เบื้องต้นบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาว่าจะลงทุนโรงงานประกอบรถไฟฟ้า(EV) และโรงงานแบตเตอรี่หรือไม่ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป หาก ปตท.ตัดสินใจไม่เดินหน้าโครงการดังกล่าว อาจทบทวนการลงทุนหรือลดสัดส่วนการถือหุ้นให้กับพันธมิตร"

     2. ธุรกิจ Logistics ปตท. จะเน้นเฉพาะธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ Core Business ของ ปตท. โดยยึดหลัก Asset-light และมีพันธมิตรที่แข็งแรง

     และ 3. ธุรกิจ Life Science ปตท. จะต้องสามารถพึ่งตัวเองได้ทางการเงิน และสร้างคุณค่าให้กับสังคม

     ผลงานครึ่งปีหลัง

     แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี2567หากพิจารณา PTTEP มาร์จิ้นถือว่าใกล้เคียงหรือลดลง จากทิศทางน้ำมันลดลง แต่วอลุ่มดีขึ้น Pool Gas ยังเหมือนเดิม อยู่ระหว่างการศึกษากับเรกูเลเตอร์และกระทรวงพลังงาน ด้าน PTTGC อาจจะยังไม่สู้ดี ด้วยสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดไทยจึงส่งผลกระทบทางอ้อมต่อลูกค้าที่นำเม็ดพลาสติกไปทำเป็นสินค้าสำเร็จรูปเกิดการแข่งขันรุนแรงจึงส่งผลทางอ้อมต่อเราเช่นกัน ขณะที่ OR แนวโน้มน่าจะทรงตัว ส่วน อินโนบิก นูทริชั่น ถ้ามีโอกาสสามารถเข้าตลาดหุ้นไทยในอนาคตถือเป็นเรื่องที่ดี

     สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 64,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,475 ล้านบาท หรือ 34.4% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566 เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยจากธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยปรับลดลง ประกอบกับมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนและการจำหน่ายสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ขณะที่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น

     กลุ่ม ปตท. มุ่งสู่การเติบโตขององค์กรระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยเป็นกำไรจากธุรกิจ Hydrocarbon 92% และธุรกิจ Non-Hydrocarbon  8% โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2567 ที่ 0.80 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับภาษีเงินได้ ปตท. และบริษัทในเครือ นำเงินส่งรัฐรวม 35,684 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตด้านราคาพลังงาน ตั้งแต่ปี 2563 ในวงเงินกว่า 24,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.