GULF อวดกำไรไตรมาส 2/67 โต 34% เดินหน้าลุยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 โดยมีรายได้รวม (total revenue) เท่ากับ 32,617 ล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาส 2/2566 จากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่ลดลงจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติและค่า Ft ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เท่ากับ 4,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จาก 3,556 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯเนื่องมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) โรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 3 ในเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมาส่งผลให้ในไตรมาส 2/2567 GULF รับรู้ผลการดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ GPD หน่วยที่ 1-3 (กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,987.5 เมกะวัตต์) ซึ่งทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566
และโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ GULF รับรู้กำไรจากการดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ HKP หน่วยที่ 1 ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP ในไตรมาส 2/2567 จำนวน 643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น โดยมี load factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 67% ในไตรมาส 2/2566 เป็น 80% ในไตรมาสนี้ อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2/2566 โรงไฟฟ้า SPP จำนวน 3 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP มีการหยุดซ่อมบำรุง (B-inspection)
ด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ในไตรมาส 2/2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul จำนวน 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จาก 148 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 5.2 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2566 เป็น 5.5 เมตร/วินาที ในไตรมาสนี้
อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 37 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 เป็น 51 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ หรือเพิ่มขึ้น 40% จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงจาก 833 บาท/ตัน ในไตรมาส 2/2566 เป็น 680 บาท/ตัน ในในไตรมาสนี้ แม้ว่าราคาค่า Ft ขายส่งเฉลี่ยจะลดลงก็ตาม
โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยจาก 92% ในไตรมาส 2/2566 เป็น 84% ในไตรมาสนี้ เนื่องจากในเดือนมิถุนายนโรงไฟฟ้ามีการหยุดซ่อมบำรุง (CI-inspection) ตามแผนงาน
นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ทั้ง กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง เนื่องจากโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 2 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (C-inspection) ตามแผนงานในไตรมาส 2/2567
ธุรกิจก๊าซ ไตรมาส 2/2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 256% จาก 107 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 412.5 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2566 เป็น 341.5 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ ขณะที่ ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นจาก 70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 2/2566 เป็น 81.6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ
นอกจากนี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 1,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 269 ล้านบาท หรือ 20% จาก 1,352 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 สาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ AIS ที่ดีขึ้น จาก ARPU ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนที่ลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 2/2567 จำนวน 10,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับ 8,620 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 ขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 2/2567 เท่ากับ 4,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จาก 2,885 ล้านบาทในไตรมาส 2/2566 โดยในไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจาก 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 เป็น 37.01 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 481,852 ล้านบาท หนี้สินรวม 337,974 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 143,877 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 1.85 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.70 เท่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากจำนวนหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้ในเดือนเมษายน 2567 ประกอบกับการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
คงเป้ารายได้โต 25-30%
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า บริษัทยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25-30% โดยโครงการต่างๆของบริษัทยังคงดำเนินไปตามแผน
โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามแผนในวันที่ 1 ตุลาคม 2567
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธันวาคม 2567
นอกจากนี้ โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะสามารถเข้าลงนามสัญญาได้ไม่ต่ำกว่า 270 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 และดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าไม่ต่ำกว่า 180 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ โดย GULF1 มีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ solar rooftop มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573
ธุรกิจก๊าซ HKH ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทฯ ถือหุ้น 49% ได้เริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันจำนวน 6 ลำ รวม 400,000 ตัน เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 1 อีกทั้งมีแผนจะนำเข้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 200,000 ตัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะผลักดันให้รายได้ของกลุ่ม GULF ในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมาย”
สำหรับโครงการอื่นๆของบริษัทฯที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังเป็นไปตามแผน โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 และจะเริ่มก่อสร้าง LNG terminal ในช่วงกลางปี 2568 ขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเรือในปลายปี 2568
โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองนั้น สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568 ขณะที่สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2569
ธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (data center) ของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเฟสแรกซึ่งมีขนาด 25 เมกะวัตต์มีแผนเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายศูนย์ข้อมูลดังกล่าวเพิ่มอีก 25 เมกะวัตต์ในเฟสที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกัน รวมเป็น 50 เมกะวัตต์ โดย GSA DC จะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด และได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล (cloud computing) ด้วย เนื่องจากปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่างๆ กำลังขับเคลื่อนไปสู่ digital transformation จากการใช้งาน big data, IoT และ AI ซึ่ง workload ของ AI ดังกล่าวต้องใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาลและใช้ระบบ liquid cooling ในการระบายความร้อน โดยกลุ่มลูกค้าหลักของ GSA DC จะเป็นกลุ่ม hyperscalers enterprise และหน่วยงานรัฐบาล
ส่วน ธุรกิจ cloud ที่บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ องค์กรที่ต้องการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ โดยผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่นๆในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ cybersecurity
อย่างไรก็ดี เรื่องการควบรวบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH นั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2568
"GULF มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วไทยผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการพลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย โดย GULF ร่วมกับ AIS ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และระบบสื่อสารจากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม ตั้งเป้า 30 พื้นที่ในระยะเวลา 5 ปี มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างการเติบโตร่วมกันของเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน"
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.