ลุ้น 31 พ.ค. ศาลอาญาทุจริตฯ นัดฟังคำสั่ง ไตรรัตน์ ฟ้อง 4 กสทช.
ตามที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการ กสทช.กับพวกรวม 5 คน ได้แก่ พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ,นางสาวพิรงรอง รามสูต ,นายศุภัช ศุภชลาศัย รองศาสตราจารย์ ,นายสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ และนายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ (รองเลขาธิการ กสทช.) เป็นจำเลย ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 155/2566 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กล่าวหาโจทก์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ กสทช. ได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของการกีฬาแห่งประเทศไทย
แต่เกิดเหตุการณ์จอดำขึ้น จึงได้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีรายงานความเห็นว่าโจทก์อาจจะมีการกระทำที่เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายและมติ กสทช. ที่เกี่ยวข้อง จึงเสนอให้ที่ประชุม กสทช. พิจารณา กรรมการทั้ง 4 ท่านจึงได้มีมติให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ และโดยที่โจทก์เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสำนักงาน กสทช. จึงมีความจำเป็นต้องให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. เป็นการชั่วคราวไว้ก่อนในระหว่างการสอบสวน และแต่งตั้งรักษาการฯ คนใหม่ในระหว่างนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ทั้งนี้ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 นี้ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาว่าคดีมีมูลที่จะรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า หากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้อง จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในการที่นายไตรรัตน์ฯ จะร้องขอให้ 4 กสทช. หยุดปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาเลขาธิการ กสทช. เช่นเดียวกับคดีที่ทรูได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อนางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. จากการที่สำนักงาน กสทช. ออกหนังสือไปถึงผู้ประกอบการโทรทัศน์กรณีการให้บริการของ True ID และต่อมากลุ่มทรูได้มีการร้องขอให้ นางสาวพิรงรอง หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กสทช. ในการพิจารณาเรื่องใดๆ ที่มีส่วนเกี่ยวของกับกลุ่มทรูทั้งหมด โดยอ้างว่าจะไม่มีความเป็นกลาง ซึ่งเป็นที่ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ในวงวิชาการและในมุมของการคุ้มครองผู้บริโภคว่าเป็นการใช้กฎหมายและศาลมาเป็นเครื่องมือเพื่อสกัดกั้นบุคคลที่ตนเห็นว่าจะไม่ยังประโยชน์แก่ตนหรือเรียกกันว่าเป็นการฟ้องปิดปาก
สำหรับในกรณีการฟ้องของนายไตรรัตน์ฯ นั้นหากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่า การที่ 4 กสทช. มีมติว่านายไตรรัตน์ฯ น่าจะการดำเนินที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เอกชนบางรายได้ประโยชน์ในการถ่ายทอดฟุตบอลโลกด้วยเงินสนับสนุนจาก กสทช. และให้นายไตรรัตน์ฯ พ้นจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. ในระหว่างที่จะมีการสอบสวนทางวินัยนั้น หากนายไตรรัตน์ฯ เห็นว่าเป็นมติ กสทช. ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ถูกต้อง ก็ควรที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์โต้แย้งหรือยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ยกเลิกเพิกถอนเหมือนกับกรณีข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นๆ
แต่นายไตรรัตน์ฯ เลือกที่จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตฯ โดยตรงเพื่อขอให้ศาลลงโทษทางอาญาแก่ 4 กสทช. ซึ่งหากศาลเห็นว่าคดีมีมูลและรับฟ้องไว้ นายไตรรัตน์ฯ ก็จะใช้เป็นข้ออ้างให้ 4 กสทช. ไม่มีสิทธิพิจารณาการสรรหาเลขาธิการ กสทช. ที่ว่างเว้นมานาน โดยประธาน กสทช. จะนำชื่อนายไตรรัตน์ฯ เสนอให้คณะกรรมการ กสทช. พิจารณาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งที่ผ่านมา 4 กสทช. ได้คัดค้านมาโดยตลอด เพราะเห็นว่ากระบวนการสรรหาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักการแล้ว จะต้องให้กรรมการ กสทช.ทั้งหมดเป็นผู้พิจารณารายชื่อผู้สมัครเป็นเลขาธิการ กสทช. และการสรรหาที่ผ่านมา ก็จะเป็นการนำรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติทุกคนทั้งหมดมาให้ กสทช. พิจารณาร่วมกัน
ฉะนั้น ในครั้งนี้ หาก 4 กสทช. ไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในวาระนี้ ก็จะกลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ กสทช. ที่ผู้เป็นเลขาธิการ กสทช. มาจากการนำเสนอของประธาน กสทช. แต่เพียงผู้เดียว และผ่านความเห็นชอบจากกรรมการ กสทช. เพียง 3 ท่านจากจำนวนทั้งหมด 7 ท่าน
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.