จากชื่นชอบHop-On Hop-Offสู่Elephant Bus Toursส่งธุรกิจเข้าตลาดหุ้นปี 70

หนทางผู้ประกอบการของ กฤษณ์ วิทยสัมฤทธิ์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเลเฟ่นท์ โกโก จำกัด เริ่มจากธุรกิจเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ดิจิทัลของแบรนด์ Sanrio ในเมืองไทย กระทั่งเขาได้มีโอกาสพูดคุยกับธนายุทธ ทองจินดาวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟิสท์ ทรานสปอร์ต จำกัด ที่เดิมให้บริการถบัสอยู่หลายร้อยคัน และสนใจริเริ่มธุรกิจใหม่อย่างการท่องเที่ยวแบบ Hop-On Hop-Off ขณะที่กฤษณ์เองก็ชื่นชอบหรือมี passion ในการท่องเที่ยวเช่นนี้มาตั้งแต่ราว 15 ปีก่อนและมีประสบการณ์ใช้บริการในหลายประเทศมาอยู่แล้ว

ดังนั้นเมื่อ 4 ปีก่อน ทั้งสองจึงตัดสินใจร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจัดทัวร์ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย ด้วยรถทัวร์บัส 2 ชั้นเปิดประทุน Elephant Bus Tours (ชื่อเดิมคือ ชื่อ Elephant go go) แบบ Hop-On Hop-Off ที่ดำเนินการภายใต้บริษัท เอเลเฟ่นท์ โกโก จำกัด ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทย

หุ้นส่วน (ธนายุทธ ทองจินดาวงศ์) มาคุยกับผมเรื่อง  Hop-On Hop-Off แล้วผมก็บอกว่าอยากทำ เพราะชอบเที่ยวแบบนี้มานานและไปมาแล้วหลายที่ ก็เริ่มทำการบ้านและศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพิ่ม จนเกิด Elephant go go ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน แต่ก็มาเจอโควิด-19 ทำให้ต้องหยุดไปราว 2 ปีครึ่ง จึงมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 

สำหรับ Elephant Bus Tours ถือเป็นรถทัวร์ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย ที่ต้องการเปิดประสบการณ์เที่ยวทั่วกรุงเทพในรูปแบบใหม่ด้วยรถทัวร์บัส 2 ชั้นเปิดประทุน ที่มีพื้นที่ 2 ชั้น ด้านในติดแอร์และด้านนอกเปิดประทุน ที่นั่งสะอาดใหญ่สะดวกสบาย ซึ่งระหว่างอยู่บนรถนักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับหูฟัง และสามารถเลือกภาษาฟังการบรรยายระหว่างเส้นทางทัวร์ได้ถึง 8 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาจีน, ภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ   ภาษาเยอรมัน  ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน และภาษาบาฮาซาอินโดนีเซีย เป็นการเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ได้สัมผัสมุมมองของกรุงเทพแบบที่แตกต่าง 

โดยนักท่องเที่ยวจะได้สำรวจสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหลวงของประเทศไทยด้วยการเดินทางแบบ Hop-On Hop-Off รอบกรุงเทพฯ รวมถึงสามารถขึ้นและลงรถได้อย่างง่ายดายที่จุดแวะพักของทัวร์ หากต้องการสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวให้นานขึ้น

รวมไปถึงสามารถขึ้นรถได้แบบไม่จำกัดรอบ ในการเดินทางไปยังเส้นทางต่าง ๆ ชมสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ยอดนิยมไม่ว่าจะเป็น พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ เสาชิงช้า และภูเขาทอง สามารถแวะช้อปปิ้งที่ ไอคอนสยาม สยามพารากอน หรือแม้แต่แวะกินอาหารที่ถนนข้าวสาร และเยาวราช  เช่นเดียวกับได้เพลิดเพลินกับเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ ขณะที่เดินทางจากออดิโอไกด์บนรถ

แต่กว่าจะมาเป็น Elephant Bus Tours อย่างวันนี้นั้น กฤษณ์ เล่าว่าต้องผ่านอุปสรรคและกระบวนการพัฒนามาไม่น้อย จึงใช้เวลาราว 1 ปี จึงจะลงตัวและพร้อมให้บริการ เริ่มจากอุปสรรคแรกคือการขอใบอนุญาต เนื่องจากในประวัติศาสตร์ของการขนส่งในประเทศไทย ยังไม่มีรถบัสเปิดประทุนที่มีป้ายทะเบียน ซึ่งมาให้บริการบนท้องถนนจริง ๆ จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการถึง 1 ปีในขอใบอนุญาต

รวมถึงยังมีอุปสรรคในเรื่องการวางเส้นทางวิ่งที่ต้องเก็บรวบข้อมูลเพื่อวางจุดจอดหรือแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ โดยถึงปัจจุบันนี้พบว่าวัดไตรมิตรคือจุดจอดที่นักท่องเที่ยวแวะลง 100% มาโดยตลอด

Elephant Bus Tours ถูกสร้างมาจากความตั้งใจ ที่อยากจะให้นักท่องเที่ยวได้ชมเมืองในแบบที่ควรจะเป็น

Elephant Bus Tours มุ่งสู่ 3 ล้านคน/ปี

ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวใช้บริการ Elephant Bus Tours ราว 10,000 ราย/เดือน ซึ่งยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่อัตราเติบโตเฉลี่ยที่ 20-25% ต่อเดือน โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายธุรกิจไปให้บริการยังเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ในหลายภูมิภาคเพิ่ม เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา เป็นต้น ซึ่งล่าสุดได้เริ่มให้บริการในพื้นที่พัทยาไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสำหรับเป้าหมายระยะยาว คาดว่าจะมียอดผู้ใช้บริการถึง 3 ล้านคนต่อปี ในอีก 3 ปีข้างหน้า

อีกทั้งล่าสุดได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง City Sightseeing ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติเสปน ที่บุกเบิกบริการรถบัสชมเมืองที่ให้บริการครอบคลุม 150 เมือง ใน 6 ทวีปทั่วโลก ที่นอกจากใส่เงินทุนที่ 3 ล้านยูโร เพื่อถือหุ้นที่กว่า 20%  แล้ว ยังถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการบริการให้ดียิ่งขึ้น และเป็นมาตรฐานเดียวกันกับรถบัสชมเมืองของ City Sightseeing ทั่วโลกด้วย เช่น มีการรีแบรนด์และ Wrap รถบัสชมเมืองใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เป็นดีไซน์เดียวกับรถบัสของ City Sightseeing ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วโลกคุ้นเคย จึงช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการเลือกใช้บริการเมื่อเดินทางมาประเทศไทย 

ทุกวันนี้ก่อนจะมี City Sightseeing มาเป็นพันธมิตร เรามีนักท่องเที่ยวขึ้นประมาณ 10,000 คน/เดือน (ทำรายได้ราว 7-8 ล้านบาท) แต่หลังจากนี้มองว่าในระยะยาวหนึ่งปีน่าจะสามารถแตะถึง 100,000 คน/เดือนได้แน่นอน นั่นคือไปถึง 1 ล้านคน/ปีได้เลย

นอกจากนี้ กฤษณ์จะพัฒนาบริการของ Elephant Bus Tours อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนรถให้บริการจากที่มีอยู่ 13 คัน เช่นเดียวกับการใช้เสียงของดาราหรือศิลปินที่มีชื่อเสียง ที่นักท่องเที่ยวจากแต่ละประเทศชื่อชอบมาเป็นเสียงบรรยายข้อมูลสำหรับภาษาต่าง ๆ เช่น ไอดอล K-pop สำหรับภาษาเกาหลี แบรด พิตต์ สำหรับภาษาอังกฤษ เป็นต้น เพื่อเพิ่มสีสันและทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกพิเศษ ตลอดจนจัดเส้นทางเฉพาะหรือกิจกรรมใหม่ ๆ  สำหรับในบางเทศกาล เช่น กิจกรรมไหว้พระ 9 วัดในช่วงเทศกาลปีใหม่ 

เติมแต้มต่อด้วย Elephant Airport Express 

หลัง Elephant Bus Tours รับส่งนักท่องเที่ยวชมเมืองได้สักระยะแล้ว กฤษณ์มองว่าหากสามารถทำให้บริการเป็นที่รู้จักกับกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ด่านหน้าที่เข้ามายังเมืองไทยได้เลย จะเป็นการสร้างแต้มต่อได้มากขึ้น จึงนำไปสู่การร่วมมือกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจให้บริการขนส่งที่สนามบินอยู่แล้วอย่าง บริษัท บัวหลวงแทรเวล แอนด์ เซอร์วิส จำกัด รวมถึงพันธมิตรด้านขนส่งคือบริษัท เจ้าพระยาทัวร์ริสท์โบ๊ท จำกัด และบริษัท เฟิสท์ ทรานสปอร์ต จำกัด จนแจ้งเกิด เป็น Bua Airport Express ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Elephant Airport Express ในเดือนตุลาคม 2566 โดยตั้งเป้าที่จะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 10,000 ราย/เดือน และคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายในกลางปีหน้า 

สำหรับบริการ Elephant Airport Express (ชื่อเดิม Bua Airport Express) คือ รถบัสสนามบินไป-กลับสุวรรณภูมิสู่โรงแรมที่พักมากกว่า 500 แห่ง ที่ 180 บาทตลอดเส้นทางต่อคนและสามารถนำกระเป๋าเดินทางขึ้นได้ 2 ใบ ด้วยขนาดรถบัส 31 ที่นั่งและ 44 ที่นั่ง ซึ่งปัจจุบันมี 18 คันวิ่งให้บริการวันละ 9 รอบ ซึ่งในเร็ว ๆ นี้จะเพิ่มเส้นทางใหม่ เช่น สายรัชดา สายราชดำริ เป็นต้น รวมถึงจะเปิดให้บริการที่สนามบินดอนเมืองในเดือนธันวาคมปีนี้ด้วย  

ทั้งนี้ Elephant Airport Express วิ่งครอบคลุม 3 เส้นทางทั่วกรุง ได้แก่เส้นทาง สาทร-ตึกมหานคร-MBK Center, เส้นทาง เยาวราช-ไชน่า ทาวน์ - เมืองเก่า- เสาชิงช้า เส้นทาง อโศก-สุขุมวิท-เอ็มควอเทียร์-ทองหล่อ และจะเพิ่มเส้นทางไปไอคอนสยามในอีกไม่นานนี้ ซึ่งยังครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้ง มอลล์ โดยเน้นตอบโจทย์เทรนด์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่นิยมเดินทางด้วยตัวเอง

สำหรับแผนในอนาคต  กฤษณ์ มองว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า จะขยายบริการให้ครบทุกเมืองหลักทั่วประเทศไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริการ Elephant Airport Express จะสามารถยกระดับ Infrastructure ในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากสนามบินสู่โรงแรม และมุ่งหวังที่จะสร้างพฤติกรรมการเลือกโรงแรมที่พักโดยใช้เส้นทางที่ครอบคลุมของ Airport Express เป็นพื้นฐาน

อีกทั้งยังคงยึดมั่นจุดเด่นของบริการ คือ ราคาประหยัด สะดวกสบาย มีเส้นทางที่ครอบคลุมทั่วถึงโดยที่ผู้เดินทางไม่ต้องไปต่อรถ หรือยานพาหนะอื่นอีกหลายต่อ จึงถือเป็นจุดเด่นและคุณค่าสำคัญของบริการ ช่วยให้ผู้ใช้เกิดความจดจำในบริการของ Elephant Airport Express ที่ถือเป็นผู้สร้างมาตรฐานใหม่ของบริการ Airport Express ในประเทศไทย 

รวมถึงมองว่า   Elephant Airport Express จะเข้ามาแก้ปัญหาและตอบโจทย์ในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวอย่างตรงจุด โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์รักการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งจากประสบการณ์ต้อนรับนักท่องเที่ยวในสนามบินมาตั้งแต่เปิดให้บริการ พบว่าบริการแรกที่ทุกคนต้องการคือ ระบบขนส่ง ทั้งแบบส่วนตัวและแบบสาธารณะ แต่ระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพในเมืองไทยกลับไม่เพียงพอ จึงต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาระบบขนส่งจากสนามบินของประเทศนั่นเอง 

อย่างไรก็ตามในระยะข้างหน้า กฤษณ์ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อให้บริษัทมีธุรกิจที่ครอบลุม ecosystem ด้านการท่องเที่ยวเพิ่ม ได้แกด Elephant Foot Tour หรือบริการไกด์ทัวร์ที่มีมาตรฐานสามารถพานักท่องเที่ยวเดินชมสถานที่ต่าง ๆ แบบเจาะลึก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในเดือนพฤศจิกายน 2566 

นอกจากนี้ในช่วงปลายปีนี้ยังมีแผนจะเปิดให้บริการ Elephant Rented Vehicle (Car & Motor Bike) ที่แตกต่างกว่าบริการรถเช่าทั่วไปตรงที่สามารถเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชันที่บริษัทพัฒนาขึ้น ซึ่งมีระบบให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ตามที่นักท่องเที่ยวขับขี่พาหนะไป 

ถอดบทเรียน Smart SME 

กฤษณ์ แบ่งปันประสบการณ์ในฐานะผู้ประกอบการ SME ว่าอันแรกคือหากจะสร้างกิจการของตัวเองได้หากคิดหรือมีไอเดียแล้วระดับหนึ่งให้ลงมืมทำจริงเลย เพราะหากมัวแต่คิดแล้วไม่ลงมือทำด้วยตัวเองก่อนก็คงพลาดโอกาสที่จะได้พัฒนาและเรียนรู้ โดยเขาขยายความต่อว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ว่าจะเป็นกิจการอะไร เขาก็จะลงมือทำงานทุกอย่างด้วยตัวเองมาก่อน เพื่อให้สามารถสอนหรือแนะนำลูกน้อง เพื่อให้ไปแนะนะทีมงานคนอื่น ๆ ต่อไปได้ นอกจากนี้ยังต้องให้ความไว้วางใจกับทีมงานเสมอ

นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับการดูแลทีมงานอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะแผนกส่วนหน้าที่ต้องคอยให้บริการและสื่อสารกับลูกค้า เพราะเรื่องคนเป็นจุดสำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจ ดังนั้นเวลาที่ประสบความสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ จึงมักจะชื่นชมลูกน้องและทีมงานอยู่เสมอ 

อย่างไรก็ตาม อีกบทเรียนของผู้ประกอบการที่กฤษณ์เน้นย้ำคือ พยายามไม่เครียดกับงานและไม่เสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นหากได้ตัดสินใจไปแล้ว ด้วยมองว่าถ้าทำธุรกิจแล้วไม่เครียดก็แสดงว่ากิจการไม่เติบโต ตลอดจนมองว่ายังอีกไกลจึงจะถือว่ากิจการที่สร้างขึ้นถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

เรามีแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปี 2027

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.