สศช. ปรับลดประมาณการณ์จีดีพีปี 2567 เหลือ 2-3% ค่ากลาง 2.5%
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยแถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567 ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของไทย ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ขยายตัว 1.5% ต่อปี จากปีก่อนและขยายตัวได้ 1.1% จากไตรมาสที่ผ่านมา
โดย มีปัจจัยหลักมาจากการผลิตภาคนอกเกษตรขยายตัวจากบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการเกษตร ลดลง 3.5% และหมวดอุตสาหกรรมลดลง 3% ด้านการใช้จ่ายรัฐบาล ลดลง 2.1% และการลงทุนรวมลดลง 4.2% โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ลดลง 27.7% ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการ และการบริโภคอุปโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอลงเช่นกัน โดยเฉพาะปริมาณการส่งออกสินค้า ลดลง 2%
ส่งผลให้แนวโน้มทั้งปี 2567 สศช. จึงได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทย ทั้งปีใหม่ จากเดิม 2.2 - 3.2% เป็นขยายตัวลดลงเหลือ 2 - 3% จากปัจจัยเรื่องสงครามการค้า และปัจจัยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น
สำหรับ รายละเอียดของตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2567 ที่น่าสนใจมีดังนี้
ด้านการใช้จ่าย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน การส่งออกสินค้าและบริการรวมชะลอลงร้อยละ 6.9 และ 2.5 ตามลำดับ ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล และการลงทุนรวม ลดลงร้อยละ 2.1และร้อยละ 4.2 ตามลำดับ
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน ขยายตัวร้อยละ 6.9 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 7.4ในไตรมาส 4/2566 เป็นผลจากอัตราการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของครัวเรือน โดยการใช้จ่ายฯ ในหมวดสินค้ากึ่งคงทน สินค้าไม่คงทน และหมวดบริการขยายตัว ขณะที่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล ลดลงร้อยละ 2.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 3.0 ในไตรมาส4/2566 เป็นผลมาจากค่าซื้อสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 7.6 และการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดลดลงร้อยละ 10.7 ขณะที่ค่าตอบแทนแรงงาน ขยายตัวร้อยละ 1.9
การลงทุนรวม ลดลงร้อยละ 4.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.4 ในไตรมาส 4/2566 โดยการลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 27.7 ประกอบด้วยการลงทุนรัฐบาลลดลงร้อยละ 46.0 การลงทุนของรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 2.8 ขณะที่การลงทุน
ภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 5.0 ในไตรมาส 4/2566 ปัจจัยสำคัญจากการลงทุน ส่วนด้านการก่อสร้างและการลงทุนด้านเครื่องจักรเครื่องมือ ขยายตัวร้อยละ 5.2 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ
ทั้งนี้ สศช.คาดว่าจะมีการปรับตัวของภาคการส่งออกดีขึ้นโดยคาดว่าการส่งออกจะบวกได้ 2% ในปีนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ซึ่งยังคงต้องทำควบคู่กับการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อการผลักดันการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทยให้เพิ่มขึ้น
ขณะที่การลงทุนรวมคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.9% โดนเป็นการลงทุนของเอกชน 3.2% ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 3.5% และการลงทุนภาครัฐยังคาดว่าจะลดลง 1.8%
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องของการมีหนี้ครัวเรือนที่สูง ความเสี่ยงเรื่องของปัญหาอุทกภัย รวมทั้งการขนส่งสินค้าทางเรือที่ต้องเผชิญกับการขนส่งที่ยากลำบาก ซึ่งทำให้ค่าระวางเรือแพงขึ้น
ขณะที่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังปรับลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ตามที่หลายประเทศยังคงดอกเบี้ยระดับสูง ประกอบกับการมีมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทย ซึ่งเหมือนกับในปี 2562 ที่มีปัญหาเรื่องของการกีดกันทางการค้าที่ทำให้มีสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดไทย
ในส่วนของประเด็นการบริหารเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ในช่วงที่เหลือของปีได้แก่
1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ที่ต้องทำให้ได้ตามเป้าหมาย
2.การดูแลสภาพคล่องให้เพียงพอให้กับภาคเอสเอ็มอี ซึ่งต้องทำคู่กับการแก้ปัญหาลูกหนี้เรื้อรัง ขณะที่เรื่องหนี้ครัวเรือนเป็นระเบิดเวลาให้กับเศรษฐกิจไทย
3.การดูแลภาคเกษตรและรายได้ของเกษตรกร ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีต้องดูแลเรื่องของความเสี่ยงจากอุกภัย ซึ่งควรเร่งเรื่องของประกันภัยพืชผล
4.การขับเคลื่อนการส่งออก ควบคู่กับการปรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้และส่งออกได้มากขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการพำนักของนักท่องเที่ยวในระยะยาว
5.รองรับและเฝ้าระวังความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก ที่มีการทุ่มตลาดและการกีดกันทางการค้า ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.