ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.71 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.71 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.93 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 36.70-36.94 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสราว 81% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้ (จาก CME FedWatch Tool ล่าสุด) นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ก็ยังไม่ได้สะท้อนว่า BOE จะมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนได้อย่างแน่นอน ส่งผลให้ ค่าเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง และมีส่วนช่วยกดดันค่าเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน การปรับตัวลดงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีส่วนหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องเกิน +30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด ทั้งนี้ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ กลับไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า อีกทั้ง ราคาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างก็ได้ปรับตัวขึ้นพอสมควร หลังรับรู้ผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด ทำให้โดยรวม S&P500 ปิดตลาด +0.51%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.19% ยังคงหนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด โดยข้อมูลล่าสุดจาก LSEG ระบุว่า กว่า 61% ของบริษัทจดทะเบียนได้รายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกสูงกว่าคาด ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 54% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นกลุ่มธนาคาร อาทิ HSBC -4.2% (หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD)
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.46% หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพการชะลอตัวลงมากขึ้นของตลาดแรงงาน อนึ่ง เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจยังอยู่ในกรอบ sideways แถวระดับ 4.50% ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า และหาก บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.50% ได้อีกครั้ง เราก็ยังคงแนะนำให้นักลงทุนเน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip เนื่องจากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นมี Risk-Reward ที่คุ้มค่าเมื่อประเมินจากคาดการณ์ผลตอบแทนรวมในอีก 1 ปี ข้างหน้า และความเสี่ยงในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับไปแตะระดับ 5.00% ได้อีกครั้ง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด ได้ย้ำภาพการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดต่างก็ยังไม่แน่ใจในจังหวะการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ทำให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) สามารถรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง หลังจากอ่อนค่าลงในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 105.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.2-105.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) รีบาวด์ขึ้นต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 2,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ โดยเฉพาะ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2024 ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของทาง BOE ได้
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจต่อ รายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้น และระยะกลาง ที่อาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ Michelle Bowman ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ที่ยังคงสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด (มีโทนการสื่อสารแบบ Hawkish มากที่สุดในบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด)
และในฝั่งไทย ควรรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเช่นกัน ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจชะลอลงบ้าง หลังเงินบาทได้แข็งค่าใกล้โซนแนวรับระยะสั้น นอกจากนี้ ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าก็ยังคงมีอยู่บ้าง หลังบรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยขายหุ้นไทยต่อเนื่อง และเริ่มกลับมาขายบอนด์ไทยบ้าง ขณะเดียวกัน โฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติก็อาจยังมีอยู่ ทำให้เงินบาทจะยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปได้มากนัก จนกว่าตลาดจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ พลิกกลับมาชะลอลง จนผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง และเริ่มคาดหวังการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง เป็นต้น โดยเราประเมินโซนแนวรับเงินบาทในระยะสั้นแถว 36.60-36.70 บาทต่อดอลลาร์ (หากผ่านไปได้ จะมีโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญที่อาจยังผ่านได้ยากอยู่ในช่วงนี้)
ทั้งนี้ โซนแนวต้านของเงินบาทก็อาจขยับลงมาบ้าง หลังการแข็งค่าในช่วงคืนที่ผ่านมา โดยเงินบาทก็อาจยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ รวมถึงทิศทางเงินดอลลาร์ที่อาจแกว่งตัว sideways ไปก่อน จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ โดยเรามองว่า โซน 36.90-37.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจเป็นแนวต้านระยะสั้นในช่วงนี้ได้
อนึ่ง ควรระวังความผันผวนในช่วงผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ Michelle Bowman เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาคุณ Bowman มักจะมีการสื่อสารในโทร Hawkish ที่มากกว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ทำให้ต้องจับตาการปรับเปลี่ยนโทนการสื่อสาร ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ได้บ้าง
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.90 บาท/ดอลลาร์
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.