ศาลปกครองสูงสุด กลับคำสั่งศาลชั้นต้น รับ‘คำฟ้อง’เพิกถอนควบรวมทรู-ดีแทค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ศาลปกครองสูงสุดได้กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น โดยให้รับคำฟ้องของผู้บริโภค 5 รายในคดีขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) กรณีรับทราบการควบรวม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และขอให้เพิกถอนประกาศ กสทช.กำหนดมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ไว้พิจารณา

ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่าแม้การยื่นฟ้องคดีจะพ้นกำหนดระยะเวลาฟ้องคดีแล้ว แต่คดีนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ศาลปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องของผู้บริโภคทั้ง 5 รายไว้พิจารณาพิพากษาได้ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

ข้อเท็จจริงของคดีปรากฎว่า กสทช. อาศัยอำนาจตามมาตรา 27(11) (24) และมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ประกอบมาตรา 21 และมาตรา 22 (3) (4) (5) แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ออกประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560

เดิมมติในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 รับทราบการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ทำให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่ม บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่มบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TRUE MOVE) ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ กสทช. จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนประกาศและมติของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว

การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอ้างว่าประกาศ กสทช. ทั้งการออกมาตรการ กำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม และ การรับทราบการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ TRUE กลายเป็นผู้ดำเนินกิจการที่อยู่เหนือตลาด หรือดำเนินกิจการโทรคมนาคมเพียงรายเดียว ย่อมจะส่งผลให้อัตราค่าบริการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และย่อมส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถเลือกรับ หรือตัดสินใจในการรับบริการโทรคมนาคมได้ กรณีจึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเสี่ยงได้

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และด้วยข้อจำกัดเกี่ยว กับปริมาณคลื่นความถี่ที่มีจำนวนจำกัด อีกทั้งการลงทุนในการ ประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ตลาดหรือ อุตสาหกรรมโทรคมนาคม จึงมีผู้ประกอบการจำนวนน้อยราย ทำให้มีลักษณะเป็นการกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ

การที่ผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมจะควบรวมธุรกิจหรือไม่ จึงกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และมีผลกระทบต่อ ประชาชนผู้ใช้บริการในวงกว้างด้วย ข้อพิพาทในคดีนี้จึงต้องถือว่า เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ศาลปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องนี้ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าไว้พิจารณาพิพากษาได้

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.