ย้อนรอย 5 ปี ตลาดหุ้นไทยปิดลบติดต่อกันมากสุดกี่วัน?

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า วานนี้ (5 มี.ค.) ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลง 0.24% หรือลดลง 3.33 จุด มาอยู่ที่ 1359.26 จุด ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 7 วันติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.-5 มี.ค.2567 จาก 1,402 จุด หรือลดลงกว่า 3% ดังนั้นเชื่อว่า DOWNSIDE ในช่วงสั้นๆ ของ SET เริ่มจำกัด และน่าจะมีโอกาสรีบาวน์คืนกลับมาได้บ้างในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 

โดยปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยวานนี้ ส่วนหนึ่งมาจากกระทรวงพาณิชย์รายงานเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือน ก.พ. -0.77%YoY ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งการหดตัวหลักๆ ยังคงเป็นราคาสินค้ากลุ่มอาหารสด รวมทั้งกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตามตัวเลขล่าสุดถือว่าติดลบน้อยลงกว่าตลาดคาดที่ -0.8%YoY และเดือนก่อนที่ -1.11%YoY บวกกับเป็นครั้งแรกที่ปรับขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ในรอบ 7 เดือน 

ส่วน CORE CPI ล่าสุด +0.43%YoY ต่ำสุดในรอบ 27 เดือน อีกทั้งยังเป็นระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายในขณะนั้นยืนอยู่ราว 1.75% 

ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยในไตรมาส 1/2567 กระทรวงพาณิชย์คาดอาจหดตัวราว -0.7%YoY ถึง -0.8%YoY โดยในเดือน มี.ค.-เม.ย.2567 ยังมีโอกาสเห็นเงินเฟ้อติดลบ ก่อนจะพลิกกลับเป็นบวกในเดือน พ.ค.2567 เนื่องจากฐานราคาในปีก่อนน้อยลง ประกอบกับมาตรการช่วยลดค่าครองชีพต่างๆ ของภาครัฐจะหมดลงในเดือน เม.ย.นี้

ในมุมมองของตลาดการเงิน ยังคงเห็นความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงในช่วงไตรมาส 2/2567 หลังเงินเฟ้อไทยติดลบ 5 เดือน กด BOND YIELD 1-8 ปี ของไทย ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ส่วน BOND YIELD 10 ปี ของไทย ล่าสุดอยู่ที่ 2.55% ซึ่งเข้าใกล้ระดับ
ดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้นทุกที

ขณะที่ในมุมของฝ่ายวิจัยฯ มองว่าเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำ จะยิ่งเพิ่มโอกาสของการที่จะต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แรงขึ้น ผ่านนโยบายการเงินผ่อนคลายและนโยบายการคลังที่เข้มข้น

นอกจากนี้ วันที่ 5 มี.ค.2567 ตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงลงราว 1-1.7% โดยมีแรงกดดันหลักๆ มาจากปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นกลุ่มเทคฯ นำโดยหุ้น APPLE INC ร่วงเกือน 3% หลังเผยยอดขาย IPHONE ในจีนลดลง 24% รวมถึงหุ้น TESLA ร่วงราว 4% หลังเผยยอดขายในจีนลดลง 19% บวกกับกระแสสงครามตัดราคารถ EV 

ประกอบกับนักลงทุนยังรอจับตาถ้อยแถลงของประธาน FED คืนนี้ (วันที่ 7 มี.ค. เวลาตี 2 ไทย) ในเรื่องนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรส ขณะที่ BOND YIELD สหรัฐ ยังคงเห็นภาพการย่อตัวมา สะท้อนถึงความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงในช่วงกลางปีนี้

ขณะที่ในฝั่งเอเชีย รัฐบาลจีนได้เปิดเผยรายงานการทำงานของรัฐบาล (GOVERNMENT WORK REPORT) โดยได้กำหนดเป้าหมายในปี 2567 ว่าจะเห็นเศรษฐกิจขยายตัวได้ราว 5% ส่วนการขาดดุลงบประมาณทางการคลังตั้งเป้าเอาไว้ที่ 3% ของ GDP อย่างไรก็ตาม การประเมิน GDP GROWTH ของจีนที่ขยายตัวไม่ได้โดเด่น ทำให้กลายเป็นปัจจัยที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นในช่วงสั้นๆ

อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือ 1,213 วัน (6 มี.ค.2562-5 มี.ค.2567) การซื้อขาย SET INDEX ไม่เคยลบติดต่อกันเกิน 10 วัน โดยมีการลบติดต่อกัน 10 วัน แค่ 1 ครั้ง, ลบ 9 วันติด แค่ 1 ครั้ง และลบ 8 วันติด แค่ 4 ครั้ง 

ทั้งนี้ กลยุทธ์ยามที่ SET INDEX ผันผวน การเลือกหุ้นต้อง SELECTIVE เน้นเลือกหุ้นผันผวนต่ำ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่าง หุ้นได้ประโยชน์จาก BOND YIELD ปรับตัวลดลง ได้แก่ MTC, SPALI, AP หุ้นผันผวนต่ำ ได้แก่ BDMS, BEM, ADVANC หุ้นรับหน้าร้อน ได้แก่ HMPRO, CRC, CPN ซึ่งทั้ง 3 บริษัทมักปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าตลาดในช่วงเดือน มี.ค.เป็นต้น

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.