TOA ตั้งเป้ายอดขายปี 67 โต 8% โชว์กำไรปี 66 พุ่ง 81% ปันผลครึ่งหลัง 0.35 บาท/หุ้น

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,569 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% จากปีก่อน โดนเป็นกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 545 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้วยการปรับแผนกลยุทธ์ด้านวัตถุดิบร่วมกับการจัดการภายในองค์กรตามหลักความยั่งยืน การนำระบบ Digital Transformation และ Automation เข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แนวโน้มผู้บริโภคยังให้การตอบรับที่เพิ่มมากขึ้นกับผลิตภัณฑ์กลุ่มนวัตกรรมที่มีมาตรฐานการรับรอง ทั้งด้านคุณสมบัติและความปลอดภัยขั้นสูง ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม ที่บริษัทเป็นผู้นำตลาด จึงเป็นแรงส่งช่วยผลักดันยอดขายรวม และสร้างกำไรให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง

โดยรายได้รวมในปี 2566 อยู่ที่ 22,479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน และในไตรมาส 4/2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากทุกช่องทางการขายภายในประเทศ เพราะด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ TOA การมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมมากที่สุด การมีสินค้าครบทุกกลุ่มและบริการครบวงจร รวมถึงการปรับตัวการดำเนินธุรกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา บริษัทสามารถสร้างการเติบโตเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2566 มีมติเห็นชอบเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 29 เม.ย.2567 พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งหลังปี 2566 ในอัตรา 0.35 บาท/หุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 8 พ.ค.2567 และจ่ายปันผล วันที่ 28 พ.ค.2567 เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ได้จ่ายไปแล้วในอัตรา 0.33 บาท/หุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลในอัตรา 0.68 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 61% จากกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของปี 2566

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 8% จากปีก่อน ไม่หวั่นความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว และเชื่อมั่นว่าด้วยสถานะการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำตลาดสีในประเทศไทย มีที่สินค้าหลายหลากทุกความต้องการ โดยมีสินค้าเรือธงที่ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจเลือกใช้ อาทิ สีซุปเปอร์ชิลด์  สีทีโอเอ ชิลด์วัน นาโน สีโฟร์ซีซั่นส์

ประกอบกับการขยายธุรกิจให้ครบวงจรแบบ Total Solution ทั้งเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง ยิปซั่มบอร์ด กระเบื้อง ฮาร์ดแวร์ และสินค้าวัสดุก่อสร้าง ยังเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและโอกาสการเติบโตเหนือกว่าคู่แข่ง

โดยในปี 2567 บริษัทได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 นับจากการเริ่มธุรกิจ โดยการนำเข้าสีจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2507 จากนั้นจึงสร้างโรงงานและศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาสูตรสีและเทคโนโลยีการผลิตของเราเอง จนสามารถก้าวเป็นแบรนด์สีเบอร์หนึ่ง (No.1 Paint Brand) ในประเทศไทย ที่สามารถเอาชนะแบรนด์ต่างชาติมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน  

นอกจากนี้ บริษัทได้ต่อยอดธุรกิจของ TOA ให้เติบโตเป็นมากกว่าสีทาอาคาร รวมถึงการมีเครือข่ายพันธมิตรร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 8,600 ร้านค้า และการขยายธุรกิจ สร้างฐานผลิตในภูมิภาคอาเซียน อีก 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา มาเลเซีย และลาว เพื่อพร้อมทะยานบุกตลาดในอาเซียนให้เติบโตต่อไป

ก้าวต่อไปของ TOA จะมุ่งสู่การเป็น “องค์กรแห่งความยั่งยืน” ผ่านกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ดังนี้

การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับการรักษาผู้นำตลาดสีทาอาคารในประเทศไทย โดยการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสร้างสุนทรียภาพและแรงบันดาลใจเพื่อเป็นมากกว่าสี ตลอดจนการก้าวไปสู่ผู้นำในธุรกิจอื่นที่เราได้ขยายธุรกิจไปแล้วนั้น ยังเป็นโอกาสใหม่ๆ ที่จะทำให้บริษัทเติบโตสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

การดูแลพนักงาน เพราะเชื่อว่าเพื่อนพนักงาน คือ ทรัพยากรที่สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งพัฒนาชุมชนและสังคม ผ่านกิจกรรม/โครงการสาธารณประโยชน์ต่างๆ มากมายที่เป็นการช่วยเหลือทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว

การดูแลสิ่งแวดล้อม บริษัทมุ่งมั่นจะเป็นองค์กรสีเขียวตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่จัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนานวัตกรรมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด การบริหารจัดการเรื่องขยะ (Waste Management) ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2568 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593

และบริษัทยังเชื่อว่ามาตรฐาน “TOA GREEN CERTIFIED” สัญลักษณ์สินค้าคุณภาพสูง การันตีด้วยเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล จะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมให้กับลูกค้าและคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ตระหนักหันมาใส่ใจต่อสิ่งรอบตัวมากขึ้น

“การพัฒนา TOA ให้เป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ถือเป็นพันธกิจหลักที่สำคัญที่จะทำให้  TOA ก้าวผ่านสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี เพื่อให้ธุรกิจยังคงเติบโตอย่างสง่างาม เราจึงพร้อมเพื่อเป็นมากกว่าธุรกิจสี เป็นธุรกิจที่เห็นคุณค่าในทุกๆ อย่างที่เราดูแล ปกป้องมาตลอดระยะเวลา 60 ปี และพร้อมเดินหน้าเคียงข้างไปกับทุกคน” นายจตุภัทร์ กล่าว

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.