รู้ก่อนซื้อ! "CK" หุ้นดีมีสตอรี่ที่มากกว่าหุ้นรับเหมาฯ
ราคาหุ้น CK ปิดการซื้อขายเช้านี้(14 ก.พ. 2567) อยู่ที่ 23.30 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท คิดเป็น +5.43% มูลค่าการซื้อขาย 339.62 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นไปสูงสุด 24 บาท และลดลงต่ำสุด 22 บาท
ราคาหุ้น STEC ปิดที่ 9.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท คิดเป็น +5.38% มูลค่าการซื้อขาย 161.18 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นไปสูงสุด 9.85 บาท และลดลงต่ำสุด 9.20 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ทางด่วนฉลองรัชส่วนนต่อขยาย(จตุโชติ-ลำลูกกา) ระยะทาง 16.2 กม. ได้มีการนำ TOR โครงการลงประชาพิจารณ์ครั้งที่ 1 แล้วคาดเห็นการเปิดประมูลโครงการในช่วง เม.ย. 2567 และลงนามสัญญาได้ช่วงปลายปี 2567 โดยจะใช้ระยะเวลาก่อนสร้าง 36 เดือน และเปิดให้บริการช่วงปี 2570
โดยฝ่ายฯคาดโครงการดังกล่าวจะเป็นโครงการแรกที่จะเปิดประมูลสำหรับปี 2567 โดยมีมูลค่าโครงการราว 2.4 หมื่นล้านบาท แยกเป็นงานโยธา มูลค่าราว 1.9 หมื่นล้านบาท ช่วยหนุน Backlog ของกลุ่มรับเหมาฯ
ขณะที่โครงการขนาดใหญ่อื่นๆ ฝ่ายฯคาดเห็นการทยอยเปิดประมูลต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี67 หลัง พรบ.งบประมาณปี 2567 ผ่านการอนุมัติ เป็นปัจจัยที่จะเป็น Catalyst หลักของกลุ่มรับเหมาฯ
บิ๊กรับเหมาฯรับทรัพย์
ฝ่ายวิเคราะห์คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มรับเหมาที่ “มากกว่าตลาด” โดยฝ่ายฯชอบทั้งหุ้นของ "บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK" และ "บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC" ที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่รอทยอยเปิดประมูล เลือก Top pick คือ "CK" แม้ไตรมาส 4/66 ไม่เด่น แต่พื้นฐานปี 2567 ยังแกร่ง มีโอกาสได้งานเพิ่ม
ทั้งนี้ฝ่ายฯคาดกำไรปกติในไตรมาส 4/66 ของ "CK" ที่ 149 ล้านบาท ชะลอลง 77% QoQ เนื่องจากไม่มีปันผลรับจาก TTW และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก CKP ลดลงหลังผ่านพ้นช่วง High Season ของธุรกิจ แต่กำไรปกติเติบโตเด่นเทียบขาดทุนปกติ 75 ล้านบาท ในไตรมาส 4/65 จากรายได้ธุรกิจก่อสร้างที่เติบโตเด่นจากโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบางและรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ คาดรายได้ที่ 9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% QoQ และเพิ่มขึ้น 130% YoY
ขณะที่ GPM คาดชะลอลงเล็กน้อยเป็น 7.2% จาก 7.4% ในไตรมาส 3/66 จากการรับรู้รายได้โครงการขนาดใหญ่มากขึ้นซึ่งจะมีอัตรากำไรที่ลดลง และยังเป็นระดับต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทที่ 8% ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดที่ 332 ล้านบาท ลดลง 44.2% QoQ และ เพิ่มขึ้น 37.7% YoY
CK แบ็กล็อกแกร่งสุด
ปัจจุบัน Backlog ของ CK ณ สิ้นไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 1.37 แสนล้านบาท สูงที่สุดในกลุ่มรับเหมาฯ ซึ่งจะเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ที่ระดับ 3.5 หมื่นล้านบาท อีก 3-4 ปี และเราประเมินว่า Backlog ของบริษัทมีโอกาสสูงขึ้นอีกในปี 2567 จากโครงการภาครัฐฯ ที่มีความชัดเจนมากสุดในปัจจุบันและคาดมีโอกาสเปิดประมูลได้ในช่วงครึ่งแรกของปี67 คือ 1) รถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคาย มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ที่ ครม.มีมติเห็นชอบตั้งแต่ ต.ค.2566 จึงไม่ต้องรองบประมาณปี 2567
2) ทางพิเศษจตุโชติ-ลำลูกกา มูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน TOR ผ่านการทำประชาพิจารณ์รอบแรกแล้ว นอกจากนี้ CK ยังมีโอกาสได้งานจาก BEM อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 1.09 แสนล้านบาท ที่รอ ครม.อนุมัติ ไม่รวมโครงการขนาดใหญ่ในแผนของกระทรวงคมนาคมมูลค่ารวมอีกราว 6.25 แสนล้านบาท ซึ่งคาดจะทยอยเห็นความชัดเจนมากขึ้นหลังผ่าน พรบ.งบประมาณปี 2567 ในเดือน พ.ค. เป็นต้นไป หนุนให้ Backlog ของ CK มีโอกาสสูงขึ้นแตะระดับ 3 แสนล้านบาทได้ในปี 2567 เป็น Upside ต่อประมาณการ
อย่างไรก็ดี ฝ่ายฯคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ CK คงกำไรปกติปี 2567 ที่ 2,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.3% YoY หนุนจากธุรกิจรับเหมาฯ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM และ CKP ที่สูงขึ้น โดย BEM คาดกำไรเติบโตต่อเนื่องตามผู้ใช้บริหารรถไฟฟ้า และทางด่วนที่สูงขึ้น ส่วน CKP คาดกำไรฟื้นตัวหลังเอลนีโญจบลงในช่วงกลางปี 2567 และรอติดตามการอนุมัติ พรบ.งบประมาณปี 2567 ของรัฐสภาในเดือน เม.ย.-พ.ค. ที่จะช่วยเป็น Catalyst ให้กับราคาหุ้น ฝ่ายฯคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 26 บาท ไม่รวม Upside จากโอกาสในการได้งานโครงการขนาดใหญ่ที่รอการประมูลเพิ่มเติม
STEC ครึ่งปีหลังแห่งความหวัง
ฟาก "STEC" คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 96 ล้านบาท ลดลง -25.9% QoQ , -69.5% YoY แต่หากไม่รวมกำไรพิเศษจากการตีมูลค่าอสังหาฯ ที่ราว 22 ล้านบาท คาดกำไรปกติ อยู่ที่ 74 ล้านบาท (-42.9% QoQ, -73.4% YoY) ชะลอลงทั้ง QoQ และ YoY ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า จากรายได้คาดที่ 7.6 พันล้านบาท (-3.5% QoQ , -10.7% YoY) ลดลงจากปีก่อนที่เป็นช่วงพีคของการรับรู้รายได้สายสีเหลือง-ชมพู รวมถึงรับรู้รายได้จากโครงการมอเตอร์เวย์ลดลง QoQ และค่าใช้จ่ายการบริหารที่คาดสูงขึ้นค่อนข้างมีนัยสำคัญเป็น 272 ล้านบาท (+99.2% QoQ, +37.9% YoY) จากค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานที่สูงกว่าปกติ
นอกจากนี้บริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งผลประกอบการจากบริษัทร่วมเป็นขาดทุนที่ -52 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (STEC ถือ 15%) และจะรับรู้ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามการกู้ยืมที่สูงขึ้น
สายสีชมพูยังไม่ฟื้น
ฝ่ายฯประเมินแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/67 จะยังไม่เด่นเช่นกัน โดยโครงการใหม่มีเพียงการเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าเอกชนมูลค่า 5,800 ล้านบาท ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/67 ทำให้รายได้คาดทรงตัวที่ราว +/- 7,700 ล้านบาท ทำให้ฝ่ายฯคาดกำไรปกติอาจฟื้นตัว QoQ จากค่าใช้จ่ายการบริหารที่ลดลงสู่ระดับปกติ แต่ยังต้องติดตามยอดผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายชมพู เบื้องต้นคาดบริษัทจะเริ่มรับรู้ผลเป็นขาดทุนจากสายสีชมพูเพิ่มราว 40-50 ล้านบาทต่อไตรมาส ส่งผลให้คาดกำไรปกติในไตรมาส 1/67 จะยังชะลอตัว YoY
Backlog ณ สิ้นไตรมาส 3/66 ของ STEC อยู่ที่ 1 แสนล้านบาท และมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯและเอกชน ที่ STEC ให้ความสนใจในปี 2567 อยู่ราว 3.3 แสนล้านบาท อาทิ โครงการมอเตอร์เวย์, ทางด่วน,รถไฟฟ้า, รถไฟรางคู่เป็นต้น ซึ่งเราคาดจะต้องรอรัฐสภาอนุมัติ พรบ.งบประมาณปี 2567 ในช่วงเดือน พ.ค. จึงจะเห็นความชัดเจนรวมถึงการเปิดประมูลโครงการต่างๆมากขึ้น ขณะที่โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภาปัจจุบันยังไม่สามารถรับรู้รายได้ได้ ยังต้องรอความชัดเจนในการก่อสร้างรถไฟเชื่อมสนามบินซึ่งเป็นปัจจัยต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง หากคลี่คลายจะช่วยเป็น Catalyst ให้กับราคาหุ้น
อย่างไรก็ดี ฝ่ายฯคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2567 ที่คาดจะฟื้นตัว YoY เบื้องต้นเราคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.8% YoY แต่เราเริ่มเห็น Downside risk มากขึ้นจากส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูที่อาจสูงกว่าคาดการณ์ของเรา และราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside gain เหลือเพียง 9.7% จากราคาเป้าหมายที่ 10.20 บาท ลดคำแนะนำลงเป็น TRADING
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.