KTB ร่วง 10.50% นำกลุ่มแบงก์ เซ่นกำไรไตรมาส 4/66 ต่ำคาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ม.ค.) ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ล่าสุด เวลา 15.17 น. อยู่ที่ 16.20 บาท ลดลง 10.50% หรือลดลง 1.90 บาท 

ราคาหุ้น ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP อยู่ที่ 46.25 บาท ลดลง 3.65% หรือลดลง 1.75 บาท 

ราคาหุ้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK อยู่ที่ 121.50 บาท ลดลง 3.19% หรือลดลง 4.00 บาท 

ราคาหุ้น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB อยู่ที่ 104.50 บาท ลดลง 0.48% หรือลดลง 0.50 บาท 

ราคาหุ้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY อยู่ที่ 27.25 บาท ลดลง 0.91% หรือลดลง 0.25 บาท 

ราคาหุ้น บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO อยู่ที่ 97.50 บาท ลดลง 0.26% หรือลดลง 0.25 บาท 

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับลงเป็นส่วนใหญ่ (KBANK, KTB) ประเมินว่าเป็นผลจากผลประกอบการไตรมาส 4/2566 โดย KTB กำไรไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 6.1 พันล้านบาท (-25%YoY -41%QoQ) แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะขยายตัว 23%YoY และกำไรก่อนสำรองขยายตัว 15%YoY อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิหดตัวหนัก (-25%YoY) และต่ำกว่าคาด 32% เป็นผลจากสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น (+74%YoY) เพราะลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง 

ขณะที่ KBANK ราคาหุ้นปรับลง แม้ผลประกอบการไตรมาส 4/2566 จะดีกว่าคาดราว 7% แต่คุณภาพลูกหนี้เห็นสัญญาณอ่อนแอจากการที่ลูกหนี้ชั้น 2 (Stage 2) เร่งตัวขึ้นจาก 1.79 แสนล้านบาท ในช่วงเดือน ก.ย.2566 มาเป็น 1.85 แสนล้านบาท พร้อมกับลูกหนี้ชั้น 3 (Stage 3) ก็เร่งตัวขึ้นเช่นกันจาก 8.7 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือน ก.ย.2566 มาเป็น 9.2 หมื่นล้านบาท 

นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในภาพรวมยังโดนแรงกดดันจากดอกเบี้ยที่มีโอกาสที่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับขึ้นแล้วจากนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถทำกำไรลดลง โดยเฉพาะส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) และท้ายที่สุดกระทบกับกำไรสุทธิ

บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า มีมุมมอง Negative ต่อกำไรสุทธิของ KTB ในไรมาส 4/2566 ที่ 6.11 พันล้านบาท ต่ำกว่าเราและตลาดคาดมาก เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) สูงกว่าคาด เพราะมีการตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลง กดดันกำไรลดลง -25%YoY และ -41%OoQ สำหรับสินเชื่อ ลดลง -0.6% YoY และ -2.0% OoQ คิดเป็น -0.6% YTD จากสินเชื่อภาครัฐ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio ที่ 3.08% ลดลงจาก 3.10% ในไตรมาส 3/2566 จากผลประกอบการไตรมาส 4/2566 ออกมาต่ำกว่าคาดมาก 

ดังนั้นปรับกำไรสุทธิปี 2567-2568 ลงปีละ -8% จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) สูงกว่าคาด ทำให้ราคาเป้าหมาย ปี 2567 ปรับลงเหลือ 20 บาท จากเดิม 25 บาท และถอด KTB ออกจาก Top Pick ของกลุ่มธนาคาร ทั้งนี้ มองว่าผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนจากลูกค้ารายใหญ่รายนี้จำกัด จาก KTB ตั้งสำรองในกรณีที่แย่สุดแล้ว ดังนั้น ปรับคำแนะนำลงเป็น “TRADING BUY” จากเดิม “BUY”

นอกจากนี้ มีมุมมอง Negative ต่อกำไรสุทธิของ KKP ในไตรมาส 4/2566 ที่ 670 ล้านบาท ต่ำกว่าเราและตลาดคาดมาก จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) โดยกำไรลดลง -53%YoY และ -48%QoQ เพราะ 1.ไตรมาสไตรมาส 3/2566 มีการรับรู้รายได้ก้อนใหญ่จากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ 

2.รับรู้ขาดทุนจากการลงทุน (FVTPL) 3.ไม่มีกำไรจากการขาย NPL เหมือนไตรมาส 4/2565 4.การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ จากตลาดทุน 6.ขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้นที่ -1.40 พันล้านบาท เทียบกับ -644 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2565 และ -1.34 พันลบ. ในไตรมาส 3/2566 

โดยภาพรวมยังไม่ชอบ KKP เพราะอุตสาหกรรมตลาดเช่าซื้อยังไม่ดี โดยสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ KKP ส่งผลให้สถานการณ์รถยนต์ยึดยังน่ากังวล คงคำแนะนำ “REDUCE” และคงรารคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 45 บาท

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.